เตรียมพร้อมเปิดเส้นทาง R3 เกษตรคาดการค้าไทย-จีนคึกคัก พุ่งเป้าขยายตลาดส่งออกผลไม้

หมวดหมู่ : ข่าวเกษตร เมื่อวันที่ 14 มกราคม 54
เตรียมพร้อมเปิดเส้นทาง R3 เกษตรคาดการค้าไทย-จีนคึกคัก พุ่งเป้าขยายตลาดส่งออกผลไม้

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIQ) สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชตั้งแต่ปี 2547 และต่อมาทั้งสองฝ่ายยังได้เห็นพ้องที่จะทำความร่วมมือในด้านการขนส่งสินค้าทางบกเส้นทาง R3 ให้ครอบคลุมสินค้าผลไม้ โดยจัดทำเป็นพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการตรวจสอบและกักกันโรคสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่ 3 ระหว่างประเทศไทยและจีน ผ่านเส้นทางสาย R3 มีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร เริ่มต้นจากชายแดนไทยที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทาบ่อเต็นของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้ง ไปสู่จุดหมายเมืองคุนหมิงของจีน

"เส้นทาง R3 จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ไทยจะได้รับคือ เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากการขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้น และที่สำคัญจะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น"

นายธีระ กล่าวด้วยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบต่อร่างพิธีสารดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา โดยหลังจากการลงนามซึ่งจะพยายามให้เกิดขึ้นทันกับช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยมีผลไม้ออกสู่ตลาดจำนวนมาก คือ ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะช่วยให้ราคาผลไม้ภายในประเทศไม่ตกต่ำ โดยเบื้องต้นฝ่ายจีนได้ยินดีที่จะลงนามย่อในพิธีสารฯไปพลางก่อนที่จะลงนามฉบับจริง เพื่อเปิดเส้นทาง R3 ให้สามารถส่งออกสินค้าระหว่างกันได้ ซึ่งไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรการที่ ได้กำหนดไว้ในพิธีสารฯ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับจีนว่าผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนมีคุณภาพ ปลอดจากโรคและศัตรูพืช และไม่มีการปลอมปนผลไม้จากประเทศอื่นระหว่างการขนส่ง โดยมีมาตรการกำกับดูแลก่อนการส่งออก เช่น การตรวจสอบและออกใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนส่งออก การระบุหมายเลขตู้สินค้า และหมายเลขกำกับการปิดผนึกตู้สินค้า โดยต้องไม่มีการเปิดตู้สินค้าระหว่างการขนส่งจนกว่าจะถึงด่านปลายทาง

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 14 มกราคม 2554
http://www.naewna.com/news.asp?ID=244641