อียูห้ามใช้ Morpholine เคลือบผลไม้สดส่งออก

หมวดหมู่ : ข่าวเกษตร เมื่อวันที่ 18 มกราคม 54
อียูห้ามใช้ Morpholine เคลือบผลไม้สดส่งออก

อียูแจ้งเตือนการใช้สาร Morpholine เคลือบผลไม้สดที่ส่งออก ชี้เป็นสารเจือปนอาหารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในผลไม้สดทั่วไป ผ่อนปรนให้ใช้ได้เฉพาะสับปะรด มะม่วง มะละกอ อะโวกาโด แนะโรงคัดบรรจุปฏิบัติตามระเบียบเคร่งครัด หวั่นเกิดปัญหาสินค้าตีกลับ

นายมนตรี กฤษณีไพบูลย์ รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า สำนักงานผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประ เทศไทย รายงานว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ตรวจพบปัญหาการใช้สารมอร์ฟอลีน (Morpholine) ในผลไม้สดที่สหภาพยุโรปนำเข้าจากประเทศที่สาม โดยผู้ส่งออกมักใช้สารชนิดดังกล่าวเป็นตัวกลางในการผลิตไขที่ใช้เคลือบผลไม้ สดให้มีความมันวาวเพื่อช่วยรักษาคุณภาพและน้ำหนักสินค้า แต่สาร Morpholine นี้เป็นสารเจือปนอาหาร (Food Additive) ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในสหภาพยุโรป ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของไทยจึงควรระมัดระวังในการใช้สารเคลือบผิวผลไม้ ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้มีมาตรการผ่อน ปรนสำหรับสินค้าผลไม้ 4 ชนิด ได้แก่ สับปะรด มะม่วง มะละกอ และ อะโวกาโด ที่ส่งออกก่อนวันที่ 15 ธันวาคม 2553 สามารถที่จะวางจำหน่ายในสหภาพยุโรปได้ต่อเมื่อผ่านการตรวจวิเคราะห์ว่ามี ปริมาณสาร Morpholine ตกค้างในเนื้อผลไม้หรือส่วนที่ บริโภคต่ำกว่าค่า Limit of Quantification (LOQ) ที่สหภาพยุโรปกำหนด ส่วนสินค้าผลไม้ที่ส่งออกหลังวันที่ 15 ธันวาคม 2553 สหภาพยุโรปจะอนุญาตให้นำเข้าได้ก็ต่อเมื่อผ่านการตรวจวิเคราะห์ว่ามีปริมาณสาร Morpholine ตกค้างในผลไม้ ทั้งลูกรวมทั้งเปลือกน้อยกว่าค่า LOQ ที่กำหนด

สำหรับผลไม้ชนิดอื่นนอกเหนือจาก 4 ชนิดดังกล่าว ห้ามใช้สาร Morpholine ผสมในแวกซ์ (wax) เคลือบผลไม้โดยเด็ดขาด หากสหภาพยุโรปตรวจพบ สินค้าอาจถูกปฏิเสธและห้ามนำเข้าหรือถูกตีกลับได้

ผู้ประกอบการโดยเฉพาะโรงคัดบรรจุที่จะส่งออกผลไม้ไปยังสหภาพยุโรปควรต้องศึกษากฎระเบียบ และเงื่อนไขการนำเข้าให้ละเอียด และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของประเทศปลายทางอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาการปฏิเสธสินค้าซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกเกิดความเสียหายได้

นอกจากปัญหาเรื่องสารตกค้างแล้ว ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกยังต้องให้ความสำคัญในเรื่องสุขอนามัยพืชด้วย โดยเฉพาะแมลงศัตรูพืชติดไปกับสินค้าผลไม้ส่งออกอาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้

ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงระบบการผลิต การคัดบรรจุ การยืดอายุหลังการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการขนส่ง พร้อมควบคุมด้านความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศผู้นำเข้าเกิด ความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย ซึ่งจะทำให้เป็น ที่ยอมรับของตลาดโลกเพิ่มขึ้น.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 18 มกราคม 2554
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=344&contentID=115929