สารพัดคุณค่าจาก 'ผงไหม'
แม้ว่าคนไทยโดยเฉพาะคนอีสานจะมีการทอผ้าไหมมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้ว่าผู้ผลิตผ้าไหมระดับภูมิปัญญาชาวบ้านยังมีรายได้จากการผลิตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะไม่มีหัวการค้า หรือเพราะว่าสาเหตุอื่นก็แล้วแต่ แต่ผ้าไหมทุกวันนี้มีราคาแพงระยับ (แต่คนผลิตกลับยากจน) สิ่งที่หลงเหลือจากการผลิตผ้าไหมที่เมื่อไม่นานมานี้ได้รับการประชาสัมพันธ์ให้คนเห็นถึงคุณค่าของมันนั่นคือ “ผงไหม” นั่นเอง
มีการศึกษานำเอาวัสดุเหลือใช้จากไหม เช่น เศษเส้นไหม ที่เกิดขึ้นระหว่างการสาวไหม หรือรังไหมที่ตัดแล้ว มาพัฒนาเป็นผงไหม ซึ่งเป็นโปรตีนธรรมชาติประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 18 ชนิด แล้วนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้ทำเครื่องสำอาง อาหาร และเป็นวัสดุทางการแพทย์ สำหรับประเทศไทยมีเศษไหมเหลือทิ้งปีละประมาณ 300 ตัน สิ่งเหลือทิ้งนี้หากนำมาเพิ่มมูลค่าโดยเปลี่ยนเป็นผงไหมจะมีมูลค่าสูงถึง 1,800 ล้านทีเดียว
นางบุญญา สุดาทิศ หัวหน้าโครงการ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมหม่อนไหม กล่าวว่า ในไทยนั้นมีเศษไหมเหลือปีละ 300 ตัน หากนำไปเผาทิ้งก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาวะโลกร้อน แต่หากนำมาสกัดเป็นผงไหมจะได้มูลค่าเพิ่มขึ้น โดยต้นทุนวัตถุดิบเศษไหมที่ปีหนึ่งมูลค่า 100 ล้านบาท สามารถเปลี่ยนผงไหมมูลค่า 1,800 ล้านบาท และหากนำไปต่อยอดผลิตภัณฑ์จะเพิ่มมูลค่าได้อีก 10 เท่า
ผงไหมพันธุ์ไทยที่ผลิตได้มี 2 ชนิด
1. ผงไหมซิริซิน (Sericin) เป็นผงไหมสีเหลืองที่สกัดจากกาวไหม มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ขจัดเซลล์ผิว
2. ผงไหมไฟโบรอิน (Fibroin) เป็นผงไหมสีขาวที่สกัดจากเส้นไหม ส่วนใหญ่ใช้ในการผสมผลิตภัณฑ์อาหาร เนื่องจากไม่ทำให้ สี กลิ่น เปลี่ยนแปลง
ผงไหมที่ได้จาก ไหมไทยมีคุณสมบัติดูดความชื้นและเก็บน้ำได้ดี จึงเหมาะแก่การผลิตเครื่องสำอาง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง และต้านการอักเสบได้ นอกจากนี้ ผงไหมมีโปรตีน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอล ฉะนั้น จึงสามารถนำมาผสมหรือนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือเครื่องใช้บางอย่างได้ เช่น สบู่ เคยได้ยินไหม สบู่ผงไหม ไอศกรีมผงไหม หมูยอไหมทอง ลูกชิ้นผงไหม เป็นต้น
ข้อมูลจากสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน. ระบุว่าผงไหมซึ่งเป็นผลผลิตหนึ่งจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ สามารถนำไปใส่อาหารให้มีคุณภาพดีขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น และนำไปใช้ในเครื่องสำอาง อย่างสบู่ ครีมบำรุง โดยสทน.ได้วิจัยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร พบว่าผงไหมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนังกำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ได้อีกด้วย
ผงไหมยังมีสารที่ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด สลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยความจำอีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ฯลฯ ดังนั้น หากนำมาผสมในอาหาร นอกจากจะเพิ่มคุณค่าสารอาหารยังมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน
เรื่องราวของผงไหมยังมีอีกมากมายโปรดติดตามตอนต่อไป สำหรับผู้ที่มีข้อมูลเพิ่มเติมส่งมาได้ที่ [email protected].
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=659&contentID=118743