บทคัดย่องานวิจัย

คุณภาพทางกายภาพและเคมีของผลพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาด

พิทยา วงษ์ช้าง

วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต เกษตรศาสตร์ (สาขาวิชาพืชสวน)) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2542. 110 หน้า.

2542

บทคัดย่อ

คุณภาพทางกายภาพและเคมีของผลพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาด

                การศึกษาคุณภาพทางกายภาพและเคมีของผลพลับพันธุ์ Xichu  (P2)  ที่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้ว  โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น  4 ตอน  ตอนที่ 1  เป็นการศึกษาคุณภาพทางกายภาพ  และส่วนประกอบทางเคมีของผลพลับหลังการกำจัดความฝาดโดยการรมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระดับความเข้มข้น  80 เปอร์เซ็นต์  และไม่เติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  5 องศาเซลเซียสและอุณหภูมิห้อง  (37  องศาเซลเซียส)  นาน  10 วัน  ผลปรากฎว่าพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดซึ่งเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  5 องศาเซลเซียส  มีความแน่นเนื้อ  และปริมาณวิตามินซีเท่ากับ  5.27 กิโลกรัม  และ  7.53  มิลลิกรัม/100 กรัม  ตามลำดับ  ซึ่งสูงกว่าพลับที่เก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง  ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ของพลับที่ไม่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง  มีค่าสูงสุดคือ  18.77  องศาบริกซ์  ส่วนปริมาณกรดที่ไตเตรทได้ของพลับที่ไม่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  5 องศาเซลเซียส  มีค่าสูงสุดคือ  0.27  เปอร์เซ็นต์  และปริมาณแทนนินของพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิทั้งสองระดับมีค่าต่ำสุดคือ  1.00 คะแนน

                ตอนที่ 2  เป็นการศึกษาคุณภาพทางกายภาพและส่วนประกอบทางเคมีของผลพลับหลังการกำจัดความฝาดโดยใช้สภาพสูญญากาศ  และบรรยากาศปกติแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส  และอุณหภูมิห้อง  (37 องศาเซลเซียส)  นาน  15 วัน  พบว่า  พลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  5 องศาเซลเซียส  มีความแน่นเนื้อสูงสุดคือ  5.47  กิโลกรัม  พลังที่ไม่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง  มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้  และปริมาณกรดที่ไตเตรทได้เท่ากับ  20.23  องศาบริกซ์  และ 0.24  เปอร์เซ็นต์  ตามลำดับ  ซึ่งสูงกวาพลังที่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิทั้งสองระดับ    ส่วนพลับที่ไม่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส  มีปริมาณวิตามินซีสูงสุดคือ  4.97  มิลลิกรัม/100  กรัม  และปริมาณแทนนินของพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดแล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องมีค่าต่ำสุด

                ตอนที่ 3  เป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์ของความแน่นเนื้อของผลพลับกับปริมาณเพคติน  โดยนำพลับมาตรวจสอบหาปริมาณเพคตินที่ละลายได้ในน้ำ  เพคตินที่ละลายได้ใน  ammonium oxalate  และเพคตินที่ละลายได้ในกรดไฮโดรคลอริก  ผลปรากฏว่า  ปริมาณแพคตินที่ละลายได้ในน้ำและเพคตินที่ละลายได้ใน  ammonium  oxalate  ของพลับ  มีปริมาณเพิ่มขึ้นเมื่อความแน่นเนื้อลดลง  ส่วนปริมาณเพคตินที่ละลายได้ในกรดไฮโดรคลอริกของพลับ  มีปริมาณลดลงตามความแน่นเนื้อ

                ตอนที่ 4  เป็นการศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพของผลพลับที่ผ่านวิธีการกำจัดความฝาด  โดยการรมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ด้วยวิธี  CTSD  และโดยสภาพสูญญากาศ  หลังจากการเก็บรักษานาน  28 วัน  พบว่า  พลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดโดยใฃ้สภาพสูญญากาศมีความแน่นเนื้อสูงสุดเท่ากับ  6.07 กิโลกรัม  แต่ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้  ปริมาณกรดที่ไตเตรทได้  และปริมาณวิตามินซีของพลับที่ผ่านการกำจัดความฝาดโดยใช้วิธี  CTSD  มีค่าสูงกว่าการกำจัดความฝาดโดยใช้วิธีอื่นซึ่งมีค่าเท่ากับ  22.60  องศาบริกซ์  0.19 เปอร์เซ็นต์  และ  5.30  มิลลิกรัม/100 กรัม  ตามลำดับ  ส่วนปริมาณแทนนินของพับที่ผ่านการกำจัดความฝาดโดยใช้สภาพสูญญากาศมีปริมาณสูงสุดคือ  0.08 กรัม/100 กรัม  และค่า  L  ค่า  a  และค่า  b  มีค่าสูงสุดเมื่อกำจัดความฝาดพลับโดยใช้สภาพสูญญากาศ  ซึ่งมีค่าเท่ากับ  59.73  20.87  และ  54.98  ตามลำดับ