ผลของการเคลือบผิวด้วยไคโตแซนต่อการชะลอการสุกของผลกล้วยหอมพันธุ์คาเวนดิช
สุทธิวัลย์ สีทา
วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, 2542. 130 หน้า.
2542
บทคัดย่อ
ได้ศึกษาผลของการเคลือบผิวกล้วยหอมพันธุ์คาเวนดิช (Musa AAA) ด้วยไคโตแซน ที่มีน้ำหนักโมเลกุลและความเข้มข้นต่าง ๆ ต่อการฃะลอการสุกในระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 85-90 % และศึกษาเปรียบเทียบผลของไคโตแซนกับสารเคลือบผิว S-1670 และ KF-8000 DX ที่มีต่อการสุกของผลกล้วยหอม พบว่าการเคลือบผิวกล้วยหอมด้วยสารไคโตแซนสามารชะลอการสุกได้ ผลที่เคลือบด้วยไคโตแซนชนิดที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง (HMW) จะทำให้กล้วยสุกเหมาะสมต่อการบริโภคในวันที่ 25 ของการเก็บรักษา ส่วนผลที่เคลือบผิวด้วยไคโตแซนชนิดที่มีน้ำหนักโมเลกุลขนาดกลาง (MMW) และน้ำหนักโมเลกุลต่ำ (LMW) กล้วยสุกพอเหมาะในวันที่ 20 และ 17.5 วันตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบว่าผลกล้วยที่เคลือบผิวด้วยไคโตแซนชนิด HMW มีการสูญเสียน้ำหนักช้ากว่า และรักษาสีเขียวของเปลือกได้นานกว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการเคลือบด้วยไคโตแซนชนิดที่มีชนาดน้ำหนักโมเลกุลสูงที่ความเข้มข้นต่าง ๆ พบว่าการเคลือบด้วยไคโตแซนที่ความเข้มข้น 1.5% และ 2.0% สามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงสีของเปลือก ชะบอการลดลงของปริมาณคลอโรฟิลล์และแป้ง ปริมาณน้ำตาลจึงเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ทำให้สามารถรักษาความแน่นเนื้อของผลกล้วยไว้ได้นานขึ้น การเคลือบผลกล้วยด้วยไคโตแซนชนิด HMW ที่ความเข้มข้น 1.5% และ 2.0% ยืดอายุการเก็บรักษายาวนานที่สุดคือ 25 วัน และในวันที่ 10 ของการเก็บรักษา พบว่าผลกล้วยที่ได้รับการเคลือบผิวมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ภายในผลเพิ่มขึ้น (7.8%) ในขณะที่ปริมาณออกซิเจนลดลง (13.7%) นอกจากนั้นยังสามารถชะลอการเกิด climacteric peak ของอัตราการหายใจและการผลิตเอทิลีนด้วย เมื่อเปรียบเทียบกับผลที่ไม่ได้รับการเคลือบผิวอย่างไรก็ตามทั้งผลกล้วยหอมที่เคลือบและไม่เคลือบผิว ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณโพลีเอมีนในระหว่างการเก็บรักษา การเพิ่มความเข้มข้นของไคโตแซนจาก 1.5% เป็น 2.0% ไม่มีผลต่อการยืดอายุการเก็บรักษา และยังพบว่าการเคลือบผลกล้วยด้วยไคโตแซนชนิด HMW ที่ความเข้มข้น 1.5% สามารถฃะลอการสุกของกล้วยได้เช่นเดียวกันกับการเคลือบผลกล้วยด้วยสารเคลือบผิว S-1670 และ KF-8000 DX