การเจริญเติบโต ดัชนีการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาผลกล้วยไข่ในสภาพบรรยากาศดัดแปลง
ชาติชาย รุผักชี
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) สาขาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 2534. 85 หน้า.
2534
บทคัดย่อ
การเจริญเติบโต
ดัชนีการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาผลกล้วยไข่ในสภาพบรรยากาศดัดแปลง
การศึกษาการเจริญเติบโต
ดัชนีการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาผลกล้วยไข่ในสภาพบรรยากาศดัดแปลง
พบว่าแบบการเจริญเติบโตของผลหลังกาบปลีเปิดเต็มที่จนผลแก่เต็มที่ซึ่งใช้เวลา 52
วัน เป็นแบบ simple sigmoid curve ผลมีเหลี่ยมลดลงเมื่ออายุมากขึ้น และไม่ชัดเจนตั้งแต่ 49 วัน
เปลือกผลมีสีเขียวตองอ่อนขณะอายุ 0 วัน หลังจากนั้นจนถึง 14
วันสีเปลือกเขียวเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
และในเวลาต่อมาจึงมีสีเขียวลดลงจนถึงสีเขียวตองอ่อนขณะผลแก่
ส่วนเนื้อเริ่มแรกสีขาว
เมื่อผลอายุมากขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจนถึงสีเหลืองอมส้มในช่วงสุดท้าย
ขณะผลอายุ 0 วัน ความถ่วงจำเพาะ (ถพ.) มีค่ามากกว่า 1.00 หลังจากนั้นค่า ถพ.
ลดลงต่ำกว่าและเท่ากับ 1.00 เมื่อผลอายุ 7
และ 14 วันตามลำดับ ในเวลาต่อมาค่าถพ. จึงเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.00
อีกครั้งตั้งแต่ผลอายุ 21 วัน ปริมาณ total solids และแป้งของเนื้อผลเพิ่มขึ้นสูงสุดเท่ากับ
39.72 และ 27.50% ขณะผลอายุ 45 และ 35 วันตามลำดับ
และการสะสมแป้งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปริมาณ total solids (r+0.956) ปริมาณ total sugars มีน้อยมากในช่วงแรกซึ่งไม่เกิน 0.157% ระหว่างผลอายุ 0-42 วัน
หลังจากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเท่ากับ 0.717 และ 0.720% เมื่อผลอายุ 49 และ 52 วัน
ตามลำดับ
วัยของผลกล้วยไข่ที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวควรมีอายุระหว่าง
38-45 วันภายหลังกาบปลีเปิดเต็มที่
หากเก็บเกี่ยวเพื่อส่งตลาดต่างประเทศก็สามารถกระทำได้ก่อนช่วงเวลาดังกล่าว 3 วัน
ลักษณะที่บ่งชี้ถึงช่วงที่เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยวผลกล้วยไข่สามารถสังเกตได้ดังนี้คือ
ผลยังคงมีเหลี่ยมปรากฏชัดเจน อัตราส่วนความกว้าง : ความหนา ของผลมีค่าระหว่าง 1.10
ถึง 1.06 เปลือกผลสีเขียวตองอ่อน (Yellow Green 144 B) เนื้อสีเหลืองอ่อน
(Yellow 12 D) และอัตราส่วนของเนื้อ :
เปลือกมีค่าระหว่าง 1.85 ถึง 2.28
การเก็บรักษาผลกล้วยไข่ในถุงพลาสติกปิดสนิท
(sealed polyethylene bag, SPEB),
SPEB + สารดูดซับแก๊ส CO
2 (cA), SPEB + สารดูดซับแก๊ส C
2H
4
(eA), SPEB + cA + eA และ SPEB + cA + eA + GA
3 ณ อุณหภูมิ 13
oซ.(ชสพ.
85-90%) เป็นระยะเวลาต่าง ๆ กัน พบว่าการสะสม CO
2
ภายใน SPEB, SPEB + cA และ SPEB + eA มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการเก็บรักษา โดยใน SPEB มี CO
2 มากที่สุด
รองลงมาได้แก่ SPEB + cA และ SPEB
+ eA ตามลำดับ ขณะที่ใน SPEB + cA + eA และ SPEB + cA + eA + GA
3 มีปริมาณ CO
2 ไม่แตกต่างกัน และไม่เกิน 4.8% ซึ่งน้อยกว่า 3 วิธีดังกล่าวข้างต้น O
2 ภายใน SPEB และ SPEB
+ cA เริ่มมีความเข้มข้นต่ำกว่า 2.0%
ตั้งแต่เก็บรักษาได้ 3 และ 7 วัน ตามลำดับ ขณะที่ใน SPEB + eA,
SPEB + cA + eA และ SPEB
+ cA + eA + GA
3 มี O
2 มากกว่า 2.0% ตลอดระยะเวลาที่เก็บรักษา ความเข้มข้นของ C
2H
4 ภายใน
และ SPEB + cA มากกว่า SPEB และลดลงตามระยะเวลาการเก็บรักษาทั้ง 2 วิธีการ ส่วน C
2H
4 ภายในถุง
และ SPEB + eA มีความผันแปรทั้งเพิ่มขึ้นและลดลงแต่อยู่ในระดับต่ำกว่าทั้ง
3 วิธีดังกล่าวข้างต้น สำหรับการสะสม C
2H
4 ใน และ SPEB + cA
+ eA และ และ SPEB + cA
+ eA + GA
3 ต่างก็มีปริมาณน้อยมาก โดยมีความเข้มข้นไม่เกิน 0.06 ส่วนต่อล้าน (สตล.)
ผลกล้วยไข่ที่เก็บรักษาด้วยวิธี SPEB และ และ SPEB +
cA มีอายุการเก็บรักษาได้นานเท่ากันคือ 7 วัน
ขณะที่ผลซึ่งเก็บรักษาด้วยวิธี SPEB + eA มีอายุการเก็บรักษาได้นานกว่า คือ 14 วัน ส่วนวิธี SPEB + cA + eA และ SPEB + cA + eA + GA
3 สามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้มากกว่า 61 วัน
ผลกล้วยไข่ที่ผ่านการเก็บรักษาด้วยวิธี SPEB + cA + eA + GA
3 แล้วนำมาบ่ม มีอายุการวางจำหน่ายมากกว่าผลที่ผ่านการเก็บรักษาด้วยวิธี SPEB
+ cA + eA