การยืดอายุการเก็บเกี่ยวมะม่วงแก้วในภาคเหนือตอนบน 1. การใช้จิบเบอเรลลิน
เบ็ญจวรรณ ชุติชูเดช และ ธวัชชัย รัตน์ชเลศ
วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร ปีที่ 33 ฉบับที่ 4-5 (พิเศษ) : 75-78 (2545)
2545
บทคัดย่อ
การยืดอายุการเก็บเกี่ยวมะม่วงแก้วในภาคเหนือตอนบน 1. การใช้จิบเบอเรลลิน
มะม่วงแก้วในภาคเหนือตอนบนสามารถเก็บผลได้ตั้งแต่ต้นพฤษภาคมจนถึงปลายมิถุนายน มะม่วงแก้วที่เก็บเกี่ยวล่าฤดูจะมีมูลค่าสูงกว่าต้นฤดู ดังนั้นการยืดอายุเก็บเกี่ยวมะม่วงแก้วในที่ดอนอาศัยน้ำฝนจึงเป็นทางเลือกเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรจากการจำหน่ายผลเพื่อการบริโภคสด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลของจิบเบอเรลลินต่อการชะลอการแก่ของผลมะม่วงแก้ว โดยจัดสิ่งทดลองแบบ Factorial in Completely Randomize Design
ประกอบด้วย 2
ปัจจัยคือ การให้จิบเบอเรลลิน (GA3)
ความเข้มข้น 5
ระดับ 0, 50, 100, 150
และ 200
ppm ร่วมกับจำนวนครั้งในการให้สาร มี 2
ระดับคือ 1
และ 2
ครั้ง โดยพ่นช่อผลอายุ 80
วันหลังดอกบานเต็มที่ของต้นมะม่วงแก้วอายุ 12
ปี ทำ 3
ซ้ำ ให้ 1
ต้นเป็น 1
ซ้ำ ระหว่างมีนาคม-พฤษภาคม 2544
บนพื้นที่เกษตรกร ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโครงการป่าจอมทอง กิ่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ผลการทดลองพบว่าระดับความเข้มข้นและจำนวนครั้งในการให้ GA3
ไม่มีผลต่อการยืดอายุการเก็บเกี่ยว แต่จำนวนครั้งในการให้ GA3
มีผลต่อเปอร์เซ็นต์เนื้อ โดยกลุ่มที่ได้รับ 2
ครั้งมีเปอร์เซ็นต์เนื้อ (76%)
มากกว่ากลุ่มที่ได้รับ 1
ครั้ง (74.4%)
ในขณะที่ระดับความเข้มข้นของสารมีผลต่อสีเนื้อ โดยกลุ่มที่ได้รับ GA3 200
ppm มีสีเนื้อเขียวเข้มกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนน้ำหนักของผลและเมล็ด ความแน่นเนื้อ ปริมาณน้ำตาลที่ละลายน้ำได้ (soluble solids)
และปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (titratable acidity)
ของผลมะม่วงในทุกกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติดังนั้นระยะที่เหมาะสมสำหรับการใช้GA3
ควรที่จะได้รับการพิจารณาศึกษาต่อไป