เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 51
สาคูเป็นพืชที่มีอายุอยู่ได้หลายฤดูฝน ลักษณะใบคล้ายใบคล้า ต้นคล้ายต้นขิง สูง 60-180 ซม. ขึ้นอยู่เป็นกอ หัวเล็กยาว แผ่กว้างลึก อีกชนิดหนึ่งต้นและใบคล้ายพุทธรักษา หัวสั้นใหญ่ มีหัวน้อยอยู่ไม่ลึกอยู่ในตระกูลแมรันเตซี (Marantaceae) เป็นพืชเนื้ออ่อนมีอายุอยู่ได้ปลายฤดู มีหัวซึ่งเกิดจากลำต้นใต้ดินโดยหัวขยายตัวอยู่ใต้ระดับดิน หัวใหญ่ กลม ยาว ขนาดของหัว 2.5 ซม. ยาว 20-45 ซม. ใบเป็นชนิด แลนซิโอเลต (lanceolate) เหมือนใบคล้า ดอกสีขาว เป็นช่อแฝด เมล็ดสีแดงแต่ไม่ค่อยติดเมล็ด
แหล่งที่ปลูกสาคูมาก ได้แก่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น เมื่อแบ่งตามลักษณะของหัวจะมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดหัวเล็กยาว แผ่กว้างและหยั่งลงในดินลึกเรียวเครโอล (creole) ชนิดหัวสั้นใหญ่ หัวไม่มาก หัวอยู่ไม่ลึก เรียกแบนานา (banana) ความจริงแล้วพืชที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แอร์โรว์รูต ที่จัดเป็นพืชหัวยังมีอีก 2 ชนิด ชนิดแรกได้แก่ ควีนส์แลนด์ แอร์โรว์รูต (Queensland arrowroot) และมีชื่ออื่นอีก คือ ออสเตรเลียน แอร์โรว์รูต (Australian arrowroot) เอดิเบิล แคนนา (edible canna) เพอร์เพิล แอร์โรว์รูต (purple arrowroot) ไทยเราเรียกว่า “สาคูจีน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า แคนนา เอดูลิส (Canna edulis) เคอร์-กัล (Ker-Gawl) อยู่ในตระกูล แคนนาซีน (Cannacean) เป็นพืชพวกเดียวกับพุทธรักษา มีลักษณะต้น ใบเหมือนพุทธรักษา แต่ดอกเล็กกว่า หัวคล้ายหัวข่า รับประทานได้เหมือนสาคูธรรมดาที่กล่าวข้างต้น
นอกจากสาคูที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีสาคูอีกชนิดหนึ่งได้แก่ อีสต์ อินเดียน แอร์โรว์ รูต (East Indian arrowroot) มีชื่ออื่นอีก เช่น โพลิเนเชียน แอร์โรว์รูต (Polynesian arrowroot) ทัคคา (tacca) ฯลฯ ไทยเรียกว่า “สาคูจีน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ทัคคา เลออนโทเพทาลอยด์ แอล คุนทซ์ 9 Tacca leontopetaloides (L) Kuntze) อยู่ในตระกูลทัค คาซี (Taccaceae)
สาคูขึ้นได้ในที่ที่มีฝน 1,500-2,000 มม. จึงควรปลูกในเวลาที่มีน้ำหรือสามารถให้น้ำได้เพียงพอตลอดอายุการเจริญเติบโต สาคูชอบอากาศร้อนและชื้น ฤดูปลูกที่เหมาะสมได้แก่ ฤดูฝน การปลูกและการเตรียมที่ สาคูชอบที่ที่มีการระบายน้ำดี ดินเป็นกรดน้อย ๆ ร่วนและลึก สามารถขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับน้ำทะเล จนถึงความสูงประมาณ 900 เมตร เตรียมดินโดยไถและพรวนดินให้ร่วนขุดหลุมลึก 10-15 ซม. ระยะหลุมห่างกัน 35-40 ซม. ปลูกเป็นแถวระยะระหว่างแถวประมาณ 75 ซม. โดยทั่วไปปลูกจากหัว โดยตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ยาวประมาณ 5 ซม. บางทีก็รมควันหัวเสียก่อนเพื่อให้งอกเร็วขึ้น บางครั้งก็ปลูกด้วยหน่อ บางรายขุดเก็บหัวสาคูจากต้นแก่เท่านั้น ทิ้งต้นอ่อนที่เกิดจากหน่อให้เติบโตต่อไป ไม่ต้องปลูกใหม่ เริ่มปลูกเมื่อต้นฤดูฝน วางหัวที่เตรียมไว้ในหลุม ความลึกของหลุมประมาณ 10-15 ซม. กลบด้วยดิน ถ้าใช้ระยะปลูก 75-80 ซม. หัวที่ใช้เป็นพันธุ์ปลูกจะต้องมีน้ำหนักประมาณ 480-560 กก./ไร่
สาคูมีอายุประมาณ 10-11 เดือน สังเกตได้โดยใบเริ่มเหี่ยวตาย จึงเก็บโดยขุดและเก็บด้วยมือ ตัดแยกหัวออกจากต้นและใบ ผลผลิตของหัวสาคูมีประมาณ 2,000 กก./ไร่ เมื่อขุดขึ้นจากดินแล้ว จะเก็บหัวไว้ได้ไม่นาน จะต้องใช้ภายใน 2-7 วัน แป้งสาคูนับเป็นคาร์โบไฮเดรตที่บริสุทธิ์ ที่สุดในบรรดาคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากธรรมชาติและมีความเหนียวสูงสุด การวิเคราะห์หัวสาคูประเภท “เครโอล” ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 69.1 เถ้าร้อยละ 1.4 ไขมันร้อยละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 1.3 โปรตีนร้อยละ 1.0 แป้งร้อยละ 21.7 สำหรับหัวสาคูประเภท “แบนานา” ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 72.0 เถ้าร้อยละ 1.3 ไขมันร้อยละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 0.6 โปรตีนร้อยละ 2.2 แป้งร้อยละ 19.4 แป้งสาคูประกอบด้วยเม็ดยาวรี ยาวประมาณ 15-70 ไมครอน
พวก แบนานา มีเม็ดแป้งใหญ่กว่าพวกเครโอลเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใช้หัวทำแป้ง ซึ่งเป็นแป้งที่ย่อยง่ายมาก ส่งออกสู่ตลาดเป็นแป้งผงสีขาว เรียก “แป้งสาคู” นิยมใช้เป็นอาหารทารก และทำอาหารอย่างอื่น เช่น ขนมปัง ขนมต่าง ๆ แพทย์ให้คนป่วยด้วยโรคลำไส้รับประทานแป้งสาคู นอกจากนี้เราใช้แป้งสาคูทำ “ผงแบเรียม” (barium meals) และใช้ในอุตสาหกรรมยา ทำแป้งผัดหน้า ทำกาวและทำกระดาษที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ หัวสาคูใช้เป็นอาหาร โดยต้มหรือเผาเสียก่อน หัวสดนำมาโม่จะได้แป้งสาคูใช้ทำขนมได้ดี
ใบและต้นสาคูใช้ในการบรรจุหีบห่อได้ กากที่เหลือจากการทำแป้งแล้วใช้เป็นอาหารสัตว์และทำปุ๋ย คนไทยต้มหรือนึ่งสาคูรับประทานเป็นของหวาน แต่ปริมาณสาคูที่ใช้เป็นของหวานมีไม่มากนัก.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 14 มีนาคม 2551
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=157513&NewsType=1&Template=1