เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 51
นางยาเอล รูบินสไตน์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ได้ย้อนรำลึกถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอิสราเอลกับรัฐบาลไทย โดยเดินทางไปยังศูนย์เรียนรู้โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง จ.เพชรบุรี เมื่อวันก่อนเพื่อเยี่ยมชมและติดตามความก้าวหน้าความเป็นอยู่ของเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหุบกะพง ซึ่งหากเราย้อนกลับไปในปี 2509-2514 นั้น ถือเป็นจุดกำเนิดของโครงการในความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอิสราเอล ภายใต้ชื่อโครงการ “ไทย-อิสราเอลเพื่อพัฒนาชนบท” ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่หุบกะพง โดยรัฐบาลอิสราเอลได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ เข้ามาให้คำแนะนำและถ่ายทอดวิชาการด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ก่อให้เกิดสัมพันธไมตรีระหว่างทั้งสองประเทศจวบจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางรัฐบาลอิสราเอลได้ร่วมจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนี้ด้วย โดยได้เสนอให้ความช่วยเหลือแก่ศูนย์เรียนรู้โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง ด้วยการมอบต้นทับทิมพันธุ์ Wonderful ซึ่งเป็นผลไม้ของอิสราเอลที่มีรสหวานกรอบ เมล็ดเล็กเนื้อในมีสีแดงสด น้ำหนัก ลูกละ 800-1,000 กรัม ราคาที่ประเทศอิสราเอลกิโลกรัมละ 80-160 บาท ได้นำมาปลูกในพื้นที่หุบกะพงจำนวน 120 ต้น โดยให้ทางศูนย์ฯ จัดแปลงปลูกในพื้นที่ขนาด 4 ไร่ และได้นำมาปลูกตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2550 ในเบื้องต้นทางสถานทูตอิสราเอลได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากประเทศอิสราเอลมาให้คำแนะนำวิธีการปลูกและดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายและวัสดุอุปกรณ์ในการดูแลแปลงทับทิมในระบบน้ำหยด และตั้งชื่อให้กับแปลงเพาะปลูกทับทิมนี้ว่า “โครงการสวนทับทิมไทยอิสราเอล ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”
จากการทดสอบพบว่าทับทิมพันธุ์ดีจากประเทศอิสราเอลที่นำมาปลูกในพื้นที่หุบกะพงมีการเจริญเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าจะสามารถให้ผลผลิตเมื่อครบอายุ 2 ปี และเป็นที่น่าปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศต่อการดำเนินงานในโครงการนี้ ด้วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรแปลงปลูกทับทิมในโครงการสวนทับทิมไทยอิสราเอลในโครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง เพื่อทอดพระเนตรความคืบหน้าในโครงการ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมา อันยังมาซึ่งความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
สำหรับทับทิมอิสราเอลนั้น นักวิทยาศาสตร์ในอิสราเอล ได้บันทึกไว้ว่าหากดื่มน้ำทับทิมวันละแก้วจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วยน้ำทับทิมมีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำผลไม้ชนิดอื่น
ทับทิมมีการเพาะปลูกตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีถิ่นกำเนิดในเปอร์เซีย แล้วกระจายจากสเปนไปจนถึงแคลิฟอเนีย ในอาเซอร์ไบจัน ซอสทับทิม ที่เรียกว่า Narsharab มักจะได้รับการเสิร์ฟพร้อมกับปลาสเทอจินสอดไส้ ในจอร์เจียนิยมใช้เมล็ดทับทิมเป็นส่วนประกอบในสลัดหรืออาหารที่เป็นเนื้อ ส่วนในอิหร่าน อาหารที่ชื่อว่า Ferenjan จะมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำทับทิมเข้มข้นรวมอยู่ด้วย
สำหรับทับทิมอิสราเอลที่ปลูกในพื้นที่ของโครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง จ.เพชร บุรีในครั้งนี้นั้นทางโครงการฯ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จะทำการขยายพันธุ์ก่อนจะขยายผลให้กับเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบของโครงการฯ เพื่อนำไปปลูกเชิงพาณิชย์ต่อไปเนื่องจากได้รับข้อสรุป แล้วว่าสามารถปลูกในพื้นที่และสภาพอากาศของประเทศไทยได้.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 19 มิถุนายน 2551
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=167484&NewsType=1&Template=1