'พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรฯ' ผู้เลี้ยงกุ้งเชื่อมั่นได้มากกว่าเสีย
เมื่อวันที่ 8 กันยายน 51
'พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรฯ' ผู้เลี้ยงกุ้งเชื่อมั่นได้มากกว่าเสีย
![](http://ads.dailynews.co.th/news/images/2008/agriculture/9/8/176054_83780.jpg)
ไทย ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการผลิต และส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะสินค้า “กุ้งและผลิตภัณฑ์” ซึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 82,004 ล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกในรูปกุ้งแช่เย็น แช่แข็งและกุ้งปรุงแต่ง มีตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป แคนาดา สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ เป็นต้น แต่ไทยยังมีคู่แข่งที่สำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดียด้วย
นายภิญโญ เกียรติภิญโญ ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งแห่งประเทศไทย เปิดมุมมองต่อ พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า นับเป็นเรื่องดีที่กระทรวงเกษตรฯได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรฯ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาระบบการผลิตสินค้าเกษตรของไทยโดยรวมให้มีคุณภาพ มีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้นำเข้า และช่วยเพิ่มจุดแข็งให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกด้วย
ในส่วนของกลุ่มสินค้ากุ้ง ตนมองว่าระยะแรกอาจเกิดความยุ่งยากและอาจมีปัญหาติดขัดบ้างในการปรับตัว แต่ระยะยาวเชื่อว่าจะเกิดผลดีมากกว่าผลเสียแน่นอน โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยดึงฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งให้เข้าสู่ระบบการผลิตตามมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) และมาตรฐาน CoC (Code of Conduct) และยังช่วยพัฒนาโรงงานแปรรูปให้ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้วัตถุดิบและสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยทางด้านอาหาร (Food Safety) และตรงตามความต้องการของตลาดด้วย
“ที่สำคัญยังจะทำให้เกษตรกรมีบทบาทด้านการตลาดอย่างเด่นชัด โดยมีอำนาจการเจรจาต่อรองเข้มแข็งยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบตลาดก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่ผู้ส่งออกเคยซื้อสินค้าผ่านโรงงานแปรรูป แต่อนาคตผู้ส่งออกจะมีการติดต่อซื้อขายสินค้ากับเกษตรกรโดยตรง แล้วจ้างให้โรงงานแปรรูปผลิตตามออร์เดอร์ ซึ่งจุดนี้เกษตรกรจะได้เปรียบเนื่องจากเป็นผู้กำหนดราคาซื้อขายได้”
อนาคตตลาดกลางที่เป็นแหล่งรวบรวมและซื้อขายสินค้ากุ้งจะถูกลดบทบาทลง เนื่องจากเกษตรกรและผู้ซื้อจะมีการเจรจาติดต่อซื้อขายกันโดยตรง ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการรับจ้างผลิตหรือ Contract Farming อย่างไรก็ตาม ผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งและระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน GAP และมาตรฐาน CoC ทั้งยังต้องเร่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรฯด้วย เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการยกระดับการผลิตสินค้ากุ้งให้มีคุณภาพและมีความปลอดภัยทางอาหาร
นายภิญโญกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้ง 27,000-30,000 ฟาร์มทั่วประเทศ ในจำนวนนี้เป็นฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP แล้วประมาณ 90% และได้รับมาตรฐาน CoC ประมาณ 10% ซึ่งปี 2551 นี้ คาดว่าจะมีกำลังการผลิตรวมกว่า 500,000 ตัน และมีเป้าหมายผลักดันส่งออกสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์นำรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่า 80,000 ล้านบาท
ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้จัดทำ แผนยุทธศาสตร์ในการผลักดันสินค้ากุ้ง (Roadmap of Shrimp) ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2552-2554 โดยช่วงปีแรกได้เตรียมแผนเร่งเน้นพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งที่ดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยมุ่งส่งเสริมฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งให้เข้าสู่ระบบ CoC เป้าหมายไม่น้อยกว่า 50 % ของทั้งประเทศ พร้อมตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในการส่งออกกุ้งมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้อย่างยั่งยืนต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตรฯ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ โทร. 0-2561-2277 ต่อ 1176-9 ในเวลาราชการ หรือ
www.acfs.go.th
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 8 กันยายน 2551
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=176054&NewsType=1&Template=1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง รวมอาชีพเกษตรกรรม ทำง่ายรายได้งาม ปี 2551
ม.บูรพาต่อยอดงานวิจัย "หิ้งสู่ห้าง" เพิ่มมูลค่า "ปลาสลิด" บ้านแพ้ว
กรมข้าวเตือนนครนายกเฝ้าระวัง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดที่นา
ลดพิษของโลหะหนักในปลาด้วยวิตามินซี
เร่งปลูกถั่วเขียว พันธุ์ "ชัยนาท 80" นำร่องเหนือล่าง
ไทยเยี่ยมโคลนนิ่งกระทิงป่าได้สำเร็จ
"เจริญ คุ้มสุภา" ปลูกมะม่วงนอกฤดูขายญี่ปุ่น