เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 51
เป็นที่ทราบกันว่าชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ เพราะมีความสำคัญในการผลิตข้าวให้กับคนไทยทั้งชาติได้บริโภคกัน ตลอดจนผลิตเพื่อการส่งออกไปสร้างเงินตราเข้าประเทศเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่สิ่งที่คุ้นชินกันอีกอย่างคือ ชาวนามักมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นยากจน มีหนี้สินติดตัว ทำนาได้เท่าไหร่ก็ต้องนำไปใช้หนี้หมด เหตุผลหลัก ๆ ก็คือต้นทุนการผลิตของชาวนาสูงขึ้นทุกวันโดยเฉพาะค่าปุ๋ยเคมี ประกอบกับปัจจุบันผืนนาส่วนใหญ่ต้องเช่าเขาทำ เกษตรกรไม่ได้เป็นเจ้าของที่เอง รายได้จึงไม่ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
แต่ก็ยังมีชาวนาอีกจำนวนไม่น้อย ที่เขาประสบความสำเร็จและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากการทำนาอินทรีย์ ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาทำนา ประจำปี 2549 เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำนาอินทรีย์จนได้ดี
ลุงทองเหมาะ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำหลายอาชีพทั้งการทำโรงสี ไร่มันสำปะหลัง ตัดเย็บเสื้อผ้าและเป็นช่างตัดผม โดยตั้งใจว่าจะต้องสร้างความร่ำรวยจากอาชีพเหล่านี้ให้ได้ แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นผลอย่างที่ตั้งใจ ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน และจุดหักเหในชีวิตอยู่ตอนที่ทำโรงสีได้เห็นคนงานโกยข้าวเป็นลมเพราะได้รับพิษจากการใช้สารเคมีฆ่าเพลี้ยกระโดดในนาข้าว ซึ่งพิษได้ติดมากับเมล็ดข้าว จากนั้นตนจึงได้เริ่มหันมาใช้วิธีเกษตรธรรมชาติมานานเกือบสิบปีแล้ว และยังตั้งปณิธานว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนมายึดอาชีพทำนาอินทรีย์ ลุงทองเหมาะได้เริ่มศึกษาการใช้จุลินทรีย์เพื่อปรับปรุงดินให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง จนในที่สุดก็ได้คิดค้นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์จากป่าเขาใหญ่ น้ำตกไซเบอร์และห้วยขาแข้ง สำหรับนำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์ใช้กับนาข้าวทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นในการใฝ่ศึกษาหาความรู้และทดลองทำด้วยตนเอง บวกกับความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ส่งผลให้ลุงทองเหมาะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดูได้จากการทำนาข้าวหอมมะลิอินทรีย์ในพื้นที่ 30 ไร่ จะได้ผลผลิตเฉลี่ย 700 กิโลกรัม นำข้าวเปลือก 1 เกวียน ที่ได้ไปสีเป็นข้าวกล้องได้ 600 กิโลกรัม ผลิตขายเองในราคากิโลกรัมละ 50 บาท ทำให้ลุงทองเหมาะมีรายได้จากการขายข้าวถึงเกวียนละ 30,000 บาท นับเป็นรายได้ที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่รัฐบาลประกันราคาให้กับเกษตรกรอยู่ในขณะนี้ที่อย่างน้อยก็ไม่เกิน 16,000 บาทต่อเกวียน
ดังนั้น หากใครต้อง การเดินตามรอยทางการทำนาอินทรีย์ของลุงทองเหมาะสามารถติดต่อไปได้ที่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 6 ตำบลวังหว้า อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี โทร. 08-7025-1240 ลุงทองเหมาะยินดีที่จะถ่ายทอด ความรู้ให้อย่างไม่ปิดบัง เพราะลุงควบตำแหน่งทั้งหมอดินอาสากิตติมศักดิ์ ครูภูมิปัญญาไทย ของสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็น ปราชญ์เกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 13 ตุลาคม 2551
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=179459&NewsType=1&Template=1