เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 51
ไม่มีใครปฏิเสธว่าปลาบึกเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดใหญ่ที่สุดในโลกและมีความเชื่อว่าผู้ใดได้บริโภคปลาบึกจะประสบแต่ความโชคดี มีอายุยืนยาว สติปัญญาเฉียบคม ปลาบึกจึงมีสมญานามว่า "ปลาขงเบ้ง"
เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื้อแน่นเป็นแว่นๆ คล้ายวงปีของเนื้อไม้ มีมันแทรกรสหวานมัน จึงมีผู้นิยมบริโภคเป็นจำนวนมากทั้งในและนอกประเทศ ในขณะที่ปลาบึกในลำน้ำธรรมชาติกลับมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้ รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เม่งอำพัน คณบดีคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย พยายามค้นคว้าวิธีเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ปลาชนิดนี้ในบ่อดิน ในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ จนสามารถนำไปขยายพันธุ์เพื่อใช้เลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จเป็นแห่งแรกในโลก
รศ.ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า โครงการวิจัยเพาะพันธุ์ปลาบึกเริ่มขึ้นจากตนมีความสนใจ จึงนำปลาบึกพ่อพันธ์แม่พันธุ์มาจากแม่น้ำโขงเข้ามาเลี้ยงเมื่อปี 2533 ต่อมาในปี 2543 ได้ทำการวิจัยอย่างจริงจัง โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) จนสามารถเพาะพันธุ์ลูกปลาบึกรุ่นแรกสำเร็จเมื่อปี 2545 จากการวิจัยครั้งนั้นทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์จนเป็นสัตว์เศรษฐกิจได้ ซึ่งต้องทำในลูกปลารุ่นที่ 2-3 เพื่อให้เกิดมาตรฐานของสายพันธุ์
"จุดเด่นของปลาบึกในสภาพการเลี้ยงในบ่อดินที่ดีจะสามารถโตได้ปีละ 5-10 กิโลกรัม มีผลตอบแทนจากการเลี้ยงประมาณ 5.1 หมื่นบาทต่อไร่ต่อปี ปัจจุบันสามารถพัฒนาการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี ขณะนี้เตรียมขยายผลสู่เกษตรกรที่สนใจ"
เขาให้เหตุผลว่า ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้แม่โจ้ประสบผลสำเร็จในการเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาบึกได้นั้นคือการนำลูกปลาบึกที่เกิดเมื่อปี 2545 มาเพาะเลี้ยงควบคู่กับการทดลองใช้อาหารสำหรับปลาบึกที่ ม.แม่โจ้พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับปลาบึกพ่อพันธ์แม่พันธุ์ พร้อมเก็บข้อมูลพฤติกรรมการกินอาหารของปลาบึกจากแม่น้ำโขง พบว่าปลาบึก ส่วนใหญ่จะกินสาหร่ายน้ำซึ่งมีโปรตีน พลังงาน แร่ธาติสูง มีกรดไขมันและวิตามิน มีผลต่อการเจริญเติบโตของปลาบึก จึงนำสมมติฐานดังกล่าวมาพัฒนาสูตรอาหารเม็ดสำหรับปลาบึกสำเร็จ โดยการนำสาหร่ายสไปรูลิน่ามาผสมในอาหารเม็ดทำให้เจริญพันธุ์ได้ดีและเติบโตรวดเร็ว
"จากการให้ปลาบึกรุ่นที่ 2 ในบ่อทดลองได้กินอาหารเม็ดที่มีส่วนผสมของสาหร่าย พบว่าจากเดิมที่ปลาบึกจะสามารถขยายผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 10 ปีขึ้นไป ก็จะเจริญพันธุ์ได้ดีเมื่อมีอายุเพียง 5 ปี ซึ่งมีน้ำหนักมากถึง 20 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำเชื้อมากพอสำหรับเจริญพันธุ์และตัวเมียก็จะมีไข่ที่พร้อมผสมพันธุ์เช่นกัน" รศ.ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
สถานีวิทยุ มก.ร่วมกับสำนักวิจัยและพัฒนา ม.แม่โจ้ จัดทริปพิเศษ "ทัวร์เกษตร 75 ปีแม่โจ้" ในวันที่ 28-30 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเยี่ยมชมฐานเรียนรู้การเพาะเลี้ยงปลาบึก พร้อมจำหน่ายพันธุ์ปลาบึก 75 ด้วย (จำนวนจำกัด) สนใจสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่โทร.0-2942-8069-71 ต่อ 114 ในวันและเวลาราชการ (รับเพียง 40 คน)
ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก วันที่ 6 พฤศจิกายน 2551
http://www.komchadluek.net/2008/11/06/x_agi_b001_229859.php?news_id=229859