เมื่อวันที่ 7 มกราคม 53
นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้ว่า จากการประเมินสถานการณ์ โดยดูจากแหล่งน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ บวกกับข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ปรากฏการณ์เอลนิโญ จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีหน้า และผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้จะส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งได้ ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณฝนสะสมที่มีน้อยกว่าค่าเฉลี่ยถึงร้อยละ 10 โดยเบื้องต้นคาดว่ามี 3 จังหวัด ที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงภัยแล้งมาก ได้แก่ พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ขณะที่อีก 18 จังหวัดที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงภัยแล้งปานกลาง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน น่าน อุทัยธานี สุโขทัย เพชรบูรณ์ จันทบุรี ตราด เลย ปราจีนบุรี สระแก้ว นครราชสีมา ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ มหาสารคาม นครพนม และมุกดาหาร โดยจะปรากฏการณ์ภัยแล้งชัดเจนมากหลังกลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป
อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า สาเหตุของภัยแล้งรุนแรงใน 3 จังหวัด เนื่องจากที่ผ่านมามีฝนทิ้งช่วง ทำให้ปริมาณเก็บน้ำในอ่างหลายแห่งต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เช่น แม่กวง จ.เชียงใหม่ มีน้ำเพียงร้อยละ 29 ทับเสลา จ.อุทัยธานี ร้อยละ 41 น้ำพุง และ น้ำอูน จ.สกลนคร ร้อยละ 41 โดยกรมทรัพยากรน้ำได้ร่วมกับกรมชลประทาน ติดตามและหามาตรการรับสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น โดยกรมชลประทาน ได้กำหนดพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตชลประทานลดน้อยลงกว่าปีที่แล้ว 1.3 ล้านไร่ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เพราะภาคเกษตรเป็นภาคการผลิตที่ใช้น้ำมากที่สุด และการใช้น้ำผ่านระบบคลองเปิดจะมีอัตราการระเหย ร้อยละ 10-15 ส่วนของกรมทรัพยากรน้ำจะการฟื้นฟูแหล่งน้ำภายใต้งบไทยเข้มแข็ง คาดว่าจะแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะกว่างานจะแล้วเสร็จต้องใช้ระยะเวลา 3-4 เดือน และน่าจะทันกับฤดูฝนหน้า
สำหรับ พื้นที่ภาคตะวันออก ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่มากนั้น นายเกษมสันต์กล่าวว่า ข้อมูลพบว่ายังมีปริมาณน้ำสะสมในอ่างเก็บน้ำของภาคตะวันออกค่อนข้างมาก เฉลี่ยทุกอ่างรวมกันร้อยละ 79 โดยเฉพาะใน จ.ระยอง อ่างหนองปลาไหล มีน้ำเก็บกักถึงร้อยละ 98 อ่างประแสร์ ร้อยละ 93 ดอกกราย ร้อยละ 91 ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นห่วงว่าในภาคตะวันออกจะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นกับการบริหารจัดการน้ำ ระหว่างภาคอุตสาหกรรมเกษตรและชุมชน
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 7 มกราคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=194184