เมื่อวันที่ 27 เมษายน 53
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดพริกไทยเมื่อเดือนมีนาคม โดยเฉพาะใน จ.จันทบุรี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกและผลผลิตคิดเป็นประมาณร้อยละ 98 ของพื้นที่ปลูกและผลผลิตพริกไทยทั้งประเทศ พบว่า เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้วประมาณร้อยละ 80 ซึ่งจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลผลิตในปีนี้ออกล่าช้า ส่วนที่เหลือจะเก็บเกี่ยวได้ภายในเดือนเมษายน โดยคาดว่าจะมีผลผลิต 6,956 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 5
อย่างไรก็ตาม การผลิตมีแนวโน้มลดลง สาเหตุสำคัญมาจากสภาพดินเสื่อมโทรมและเกษตรกรมีทางเลือกในการปลูกพืชหลายชนิดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า จึงได้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ยางพารา และแก้วมังกร ซึ่งเกษตรกรบางรายจะขายในรูปพริกไทยอ่อน เนื่องจากสามารถขายผลผลิตโดยไม่สูญเสียน้ำหนักและไม่มีต้นทุนในการทำเป็น พริกไทยเมล็ดแห้ง โดยขายได้ในราคาเฉลี่ย กิโลกรัมละ 40 บาท ทำให้ผลผลิตพริกไทยเมล็ดแห้งคาดว่าจะเหลือประมาณ 4,000 ตัน และราคาที่เกษตรกรขายได้ของพริกไทยดำเกรดคละในเดือนมีนาคม อยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 80-110 บาท ส่วนพริกไทยขาวอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 170-180 บาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นมา ไทยได้เปิดเสรีสินค้าพริกไทยภาษีร้อยละ 0 ตามข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์พบว่า มีการนำเข้าพริกไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชาและลาว แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกพริกไทย เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในเรื่องคุณภาพ โดยเฉพาะกลิ่นและรสชาติทำให้พริกไทยจันทบุรียังเป็นที่ต้องการของตลาด จึงคาดว่าอนาคตพริกไทยหลังเปิด AFTA ยังคงสดใส ราคามีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการของผู้ประกอบการยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับผลผลิตมีไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ ทำให้ต้องมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 27 เมษายน 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=208846