เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 53
นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า สภาวะการผลิต การตลาดและราคายางพาราภายในประเทศ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ไทยส่งออกยางไปยังประเทศจีนมากที่สุด 327,000 ตัน มูลค่า 31,708 ล้านบาท รองลงมาคือมาเลเซีย 126,000 ตัน มูลค่า 11,407 ล้านบาท ญี่ปุ่น 92,000 ตัน มูลค่า 8,861 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 52,000 ตัน มูลค่า 4,904 ล้านบาท รวมส่งออกได้ถึง 597,000 ตัน มูลค่า 56,880 ล้านบาท โดยสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ยกเว้นการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณเท่ากับปีที่แล้ว
ส่วนการผลิตการตลาดและราคาในตลาดต่างประเทศนั้น พบว่า เดือนมีนาคม 2553 จีนนำเข้ายางธรรมชาติ 193,829 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 0.3 ขณะที่ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ จีนนำเข้ายางธรรมชาติทั้งสิ้น 490,452 ตัน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 30 สาเหตุสำคัญที่ทำให้จีนนำเข้ายางเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตยางภายในประเทศลดลงจากความแห้งแล้งรุนแรงในแหล่งผลิตยางสำคัญที่มณฑลไหหลำและมณฑลยูนนาน ซึ่งจากภาวะดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ในปีนี้จีนจะผลิตยางได้ลดลง 20,000 ตัน ขณะที่อุปสงค์ยางมีมากโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในเดือนมีนาคม จีนมียอดขายรถยนต์เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 56
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ราคายางพาราที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ พบว่า ยางแผ่นดิบคุณภาพที่ 1 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 105.05 บาท ลดลงสัปดาห์ที่แล้ว 4.46 บาทหรือร้อยละ 4.07 ยางแผ่นดิบคุณภาพที่ 2 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 104.55 บาทลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 4.46 บาท ยางแผ่นดิบคุณภาพที่ 3 กิโลกรัมละ 104.05 บาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 4.46 บาท ยางก้อนคละกิโลกรัมละ 55.72 บาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.57 บาท เศษยางคละกิโลกรัมละ 51.96 บาท ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 2.83 บาท น้ำยางข้นคละกิโลกรัมละ 103.26 บาท สูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 1.65 บาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 20 พฤษภาคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=211756