เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 53
นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญร่วมกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยว่า แต่ละปีเกษตรกรไทยมีความต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูงถึง 900,000 ตัน/ปี ขณะที่ประเทศไทยสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพประมาณปีละ 100,000 ตันเท่านั้น ซึ่งปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลผลิต ข้าวไทยค่อนข้างต่ำเฉลี่ยที่ 454 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยข้าวของประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและจีนอยู่ที่ 862, 813 และ 1,054 กก./ไร่ นอกจากนี้ทั้ง 3 ประเทศยังให้ความสำคัญกับการนำพันธุ์ข้าวลูกผสมมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ซึ่งในอนาคตอาจจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและการค้าข้าวของประเทศไทยได้
ดังนั้นบริษัทฯจึงมีนโยบายที่จะพัฒนาสายพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตสูง โดยส่งเสริมการปลูกพันธุ์ข้าวลูกผสม C.P.304 ที่ ต.บางภาษี อ.บางเลน จ.นครปฐุม พบว่า ผลผลิตข้าวลูกผสม C.P.304 ฤดูปลูกแรกในแปลงของเกษตรกรได้ผลผลิตเฉลี่ยที่ 1,200 กก./ไร่ ขณะที่พันธุ์ข้าวทั่วไปในพื้นที่ใกล้เคียงเฉลี่ยที่ 1,000 กก./ไร่ ส่วนฤดูที่ 2 ตรงกับช่วงนาปรัง 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวได้รับผลกระทบจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผลผลิตข้าวลูกผสม C.P.304 เฉลี่ยที่ 900-1,000 กก./ไร่ ขณะที่ผลผลิตเฉลี่ยของพันธุ์ข้าวทั่วไปในแปลงใกล้เคียงอยู่ที่ 600-700 กก./ไร่เท่านั้น อีกทั้งเกษตรกรยังระบุด้วยว่าพันธุ์ข้าวลูกผสมไม่มีปัญหาเรื่องข้าวดีด ข้าวเด้ง และมีความต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลดีกว่าพันธุ์ข้าวทั่วไป
นาย มนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯมีแผนที่จะช่วยภาครัฐในการขยายพันธุ์ข้าวของทางราชการ ได้แก่ พันธุ์ กข.29, กข.41 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จำหน่ายในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ในช่วงฤดูนาปีประจำปี 2553 เพื่อเป็นทางเลือก และลดความเสี่ยงให้เกษตรกรในเขตที่มีการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลขั้นรุนแรง โดยเบื้องต้นได้นำเมล็ดพันธุ์สายพันธุ์แท้ของข้าวทั้ง 2 พันธุ์จากกรมการข้าวมาดำเนินการผลิตตามหลักวิชาการการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้องแล้วทำให้เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้มีลักษณะตรงตามสายพันธุ์ ทั้งเรื่องของความต้านทานโรคแมลงและผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 18 มิถุนายน 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=215559