เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 53
นายอรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า มูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกแต่ละปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-20 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 2553 คาดว่ามูลค่าตลาดเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกจะมีประมาณ 60,000 ล้านดอลล่าร์ โดยมีตลาดหลักสำคัญแบ่งเป็นสหภาพยุโรป ร้อยละ 50 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 45 ญี่ปุ่นร้อยละ 2.3 และออสเตรเลีย ร้อยละ 1
ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯได้ตั้งงบประมาณปี 2554 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการประมาณ 630 ล้านบาท กำหนดเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การทำเกษตรอินทรีย์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการปรับโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เกษตรกรรม และเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยวางเป้าหมายให้เกษตรกร ปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรแบบเคมีเป็นเกษตรอินทรีย์ประมาณ 853,420 ราย บนพื้นที่ทั้งหมด 9 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 20,000 ไร่ โดยจะเน้นสินค้าหลักที่เป็นจุดแข็งของไทย ประกอบด้วย ข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรต่างๆ เพื่อให้สามารถส่งออกและบริโภคภายในประเทศได้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่การปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ของไทยมีประมาณ 3 แสนไร่ แต่ผ่านการรับรองมาตรฐานเพียง 1.4 แสนไร่เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับความต้องการในตลาดโลด
"การพัฒนาด้านการเกษตรอินทรีย์ไทยแม้ว่าจะมีราคาดีในตลาดยุโรปอเมริกาและญี่ปุ่น แต่การจะได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกวัน เพราะมาตรฐานต่างๆ จะมีการปรับกฎเกณฑ์อยู่บ่อยครั้งเพื่อให้ทันสมัย และมีกฎเกณฑ์เพื่อกีดกันทางการค้ามากขึ้นทุกปี ในขณะที่ปัจจุบันไทยมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยลง เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งต้องถูกแบ่งปันเพื่อปลูกพืชพลังงาน ดังนั้น แนวทางการพัฒนาต่างๆ เพื่อสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกจำเป็นต้องเร่งพัฒนาพื้นที่ปลูกให้มี ประสิทธิภาพ พร้อมๆกับการพัฒนามาตรฐานและการตรวจรับรองให้สามารถเทียบเคียงกับสากล" นายอรรถ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 21 มิถุนายน 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=215976