เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 53
นายวัชระชัย ผสมทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 4 (สศข.4) จ.ขอนแก่น เปิดเผยภายหลังประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับพื้นที่ 5 จังหวัดในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ เกี่ยวกับการขยายขอบเขตเป้าหมายพื้นที่การปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์เพิ่มเติม เฉพาะในพื้นที่เขตทุ่งกุลาร้องไห้ และนอกเขตทุ่งกุลาร้องไห้ในช่วง 3 ปี (2554-2556) จำนวน 400,000 ไร่ โดยแยกเป็นพื้นที่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ 157,000 ไร่ และนอกเขต ทุ่งกุลาร้องไห้ 243,000 ไร่ เพื่อเป็นการสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นและเป็นการสร้างมูลค่าการส่งออกข้าวคุณภาพและนำเข้า รายได้จากต่างประเทศกว่า 4,000 ล้านบาท
สำหรับพื้นที่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ถือว่าเป็นพื้นดินที่มีค่าที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากสามารถผลิตข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แต่เนื่องจากปีการผลิต 2552/53 การทำนาปรังในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ขยายเพิ่มมากขึ้น โดยบางส่วนใช้พันธุ์ข้าวชัยนาท 1 หรือสุพรรณบุรี ซึ่งจะก่อให้เกิดการปลอมปนคุณภาพข้าว ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของข้าวหอมมะลิในทุ่งกุลาร้องไห้ ดังนั้น เพื่อรักษาคุณภาพและมาตรฐานข้าวหอมมะลิในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ให้ดีตลอดไป จึงมีการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาทดแทนการทำนาปรัง เพื่อใช้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจของเกษตรกรในการเลือกปลูกพืชแต่ละชนิด อาทิ ถั่วเหลือง ซึ่งปัจจุบันราคาอยู่ที่ 15.5 บาท /กก. ถั่วเขียวราคาอยู่ที่ 40.70 บาท/กก. ถั่วลิสงราคาอยู่ที่ 22.90 บาท/กก. และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาอยู่ที่ 9.05 บาท/กก. ซึ่งพืชตระกูลถั่ว นับว่ามีคุณสมบัติช่วยบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มไนโตรเจนในดิน และยังเป็นการตัดวงจรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลของข้าวนาปีด้วย สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องใส่ปุ๋ยมาก ใช้น้ำน้อย ซึ่งตัวแทนเกษตรกรจาก 5 ตำบล ของอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 107 คน ได้ให้ความสนใจที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา โดยจะปลูกเป็นอำเภอนำร่องในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดรองรับ ทางบริษัทเอกชนได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมจะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรทันที นายวัชระชัย กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 5 สิงหาคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=222236