ชี้ 3 ปัจจัยดึงราคาสินค้าเกษตรพุ่ง
เมื่อวันที่ 7 กันยายน 53
ชี้ 3 ปัจจัยดึงราคาสินค้าเกษตรพุ่ง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์สินค้าเกษตรมาโดยตลอด และสามารถสรุปทิศทางภาคเกษตรไทยว่าถึงแม้ในปีนี้จะมีผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และแมลงศัตรูพืชระบาดทำลายผลผลิตทางการเกษตรเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถฉุดรั้งราคาให้สินค้าเกษตรตกต่ำไปได้ เพราะในความโชคร้ายก็มีความโชคดีปนอยู่ด้วยเสมอ
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่
1.เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ทำให้เศรษฐกิจของไทยดีตามไปด้วย ประชาชนมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคสินค้ามีมากขึ้นนั่นเอง
2. ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้ภัยธรรมชาติรุนแรงมากขึ้น ทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมและแมลงศัตรูพืชระบาด ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายไปมาก ผลผลิตในภาพรวมจึงลดปริมาณลง ในขณะที่ความต้องการมีเท่าเดิมหรือมากขึ้น และ
3.ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความต้องการนำพืชอาหาร จำพวก อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ไปใช้เป็นพืชพลังงานมากขึ้น
สำหรับสินค้าเกษตรที่มีทิศทางสดใสในช่วงนี้คงจะหนีไม่พ้นยางพารา ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นปีทองของเกษตรกรชาวสวนยางก็ว่าได้ เนื่องจากราคาจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 100 บาท และถึงแม้จะมีบางช่วงที่ราคาปรับลดลงบ้างแต่ก็อยู่ในช่วงแคบ ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่เกษตรกรเคยได้ที่ 40-50 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ถือว่าเป็นราคาที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว
มันสำปะหลัง ก็เป็นตัวหนึ่งที่ราคาปรับขึ้น จากปีที่แล้วที่ราคาประกันอยู่ที่ 1.70 บาทต่อกิโลกรัม ตอนนี้ราคาขยับไปอยู่ที่ 3-4 บาทกว่าต่อกิโลกรัม ซึ่งก็เป็นผลมาจากเพลี้ยแป้งระบาดทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังหายไปจากระบบถึง 1 ใน 3 หรือจากเดิมที่มีผลผลิตอยู่ที่ 30 ล้านตัน ตอนนี้เหลือไม่ถึง 20 ล้านตันแล้ว
“สำหรับมันสำปะหลังนับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะช่วงที่เกิดเพลี้ยแป้งระบาด เกษตรกรต้องสูญเสียเงินทุนและผลผลิตไปจำนวนมาก แต่ขณะนี้เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงนี้สินค้าจะราคาดี และมีความต้องการ ซื้อทั้งจากต่างประเทศก็มีออร์เดอร์เข้ามามาก แต่เรากลับไม่มีสินค้าจะขาย ทำให้เสีย โอกาสไปเหมือนกัน” นายอภิชาต กล่าว
ส่วนเรื่องของข้าวนั้น แม้ว่าสต๊อกข้าวโลกจะยังขาดแคลนและมีความต้องการสินค้า แต่กลับไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามา ทำให้ผู้ส่งออกหรือโรงสีข้าวไม่สามารถรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูง อีกทั้งสต๊อกข้าวของรัฐบาลมีจำนวนมาก ดังนั้น รัฐจึงต้องเร่งระบายข้าวออกจากสต๊อกให้ได้มากที่สุดก่อนจะถึงช่วงปลายปีที่ผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่จะออกมาอีก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ประเทศคู่แข่งอย่างอินเดียและจีน ประสบปัญหาภัยธรรมชาติรุนแรงทำให้ผลผลิตเสียหาย ไม่มีสินค้าจะส่งออกด้วยแล้ว เรายิ่งต้องเร่งหาวิธีส่งออกสินค้าให้ได้ ที่สำคัญขณะนี้ประเทศรัสเซีย ผลผลิตเกี่ยวกับธัญพืชของเขาเกิดความเสียหาย และมีคำสั่งงดส่งออกสินค้าประเภทนี้ทั้งหมด ก็นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไทยจะสามารถเพิ่มกำลังการส่งออกข้าวได้เช่น เดียวกัน
แม้ว่าทิศทางราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ก็ขอให้เกษตรกรระมัดระวังและ เตรียมความพร้อมรับมือ โดยเฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ ที่สถานการณ์ทั้งน้ำท่วม และภัยแล้ง รวมถึงโรคและแมลงศัตรูพืชมีความรุนแรงมากขึ้น อาจสร้างความเสียหายทั้งผลผลิตและทรัพย์สินของเกษตรกรได้ ดังนั้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ ถ้าช่วงนี้ท่านสามารถจำหน่ายสินค้าได้ราคาดีขึ้นก็ควรเก็บออมไว้บ้าง เพราะราคาสินค้าเกษตรมันมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 7 กันยายน 2553
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=339&contentID=90077
ข่าวที่เกี่ยวข้อง นำเลี้ยงปูนิ่ม-พัฒนาท่องเที่ยว วิถีสร้างอาชีพของ วชช.เพื่อชุมชน
'ไม้ผลแปลกและหายาก' ที่น่าปลูกในปี พ.ศ.2554
คาดลำไยปีหน้าราคาพุ่ง "ธีระ" ฟุ้งแผนบริหารจัดการดี มุ่งเน้นเดินตามกลไกตลาด
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ลดต้นทุนการผลิตได้
วช.หนุนวิจัยปลานิล "จิตรลดา3" คุณภาพเหมาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์
บริหารนำเข้ากาแฟสำเร็จรูป สกัดผลกระทบเปิดเสรีอาฟตา กษ.จับตาล้นตลาด-ราคาร่วง
วิจัย "ดีเอ็นเอ" แตงกวา มก.พัฒนา ต้านราน้ำค้าง