เมื่อวันที่ 25 มกราคม 53
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข รองผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ตามที่สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบ 669/2009 ว่าด้วยการควบคุมการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่มิได้มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์ โดยมีเป้าหมายเพิ่มการตรวจสอบสินค้ากลุ่มที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงใน การพบสารตกค้างของอะฟลาท็อกซิน (aflatoxin) สารโอคราท็อกซิน เอ (Ocharatoxin A) แคดเมียม สารตะกั่ว สี Sudan และสารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 12 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล จีน กาน่า อินเดีย ไนจีเรีย อุซเบกิสถาน เวียดนาม ปากีสถาน สาธารณรัฐโดมินิกัน ตุรกี รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นไป
สำหรับสินค้าไทยที่จะถูกตรวจสอบมี 3 รายการ คือ ถั่วฝักยาว ผักตระกูลมะเขือ และผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งจะถูกสุ่มตรวจ 50% จากเดิมที่สุ่มตรวจเพียง 10% แต่จะพิจารณาทบทวนเปอร์เซ็นต์การสุ่มตรวจ ณ ด่านนำเข้าอย่างน้อยทุก 3 เดือน ขึ้นอยู่กับการตรวจพบสารตกค้าง และหากสามารถแก้ไขปัญหาลดลงได้ สหภาพยุโรปจะถอดชื่อประเทศไทยออกจากบัญชีรายชื่อประเทศกลุ่มเสี่ยงในระเบียบ ดังกล่าว และจะลดระดับการตรวจสอบลงเป็นระดับปกติ แต่ถ้าพบว่ามีปัญหามากขึ้น อาจปรับเพิ่มเปอร์เซ็นต์การสุ่มตรวจสอบเข้มงวดขึ้นอีก
นายวิณะโรจน์กล่าวต่อไปว่า หน่วยงาน Food and Veterinary Office (FVO) จะจัดส่งคณะผู้ตรวจประเมินมายังประเทศไทย เพื่อทำการตรวจประเมินระบบการควบคุมสารปราบศัตรูพืชในสินค้าอาหารที่มีแหล่งกำเนิดจากพืช พร้อมตรวจประเมินระบบป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ในผักสมุนไพรก่อนการส่งออกไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรป โดยกำหนดตรวจประเมินระหว่างวันที่ 3-12 มีนาคมนี้
"การตรวจประเมินครั้งนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากไทยอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศกลุ่มเสี่ยง หากปริมาณ การตรวจพบปัญหาทั้งสารปราบศัตรูพืชตกค้างและเชื้อจุลินทรีย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและไม่ลดลงจากปีที่ผ่านมา อาจทำให้อียูเพิ่มระดับการตรวจเข้มหรือระงับการนำเข้าจากไทยก็เป็นได้ เบื้องต้นเกษตรกรควรเร่งปรับตัวโดยต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน GAP อย่างเคร่งครัด และผู้ประกอบการควรเข้มงวดและเพิ่มความระมัดระวังในการคัดเลือกผลผลิตจาก แหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน GAP โรงคัดบรรจุที่ได้รับมาตรฐาน GMP แล้วเท่านั้น" นายวิณะโรจน์ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 25 มกราคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=196620