เมื่อวันที่ 26 มกราคม 53
นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศผู้ผลิตยางพาราในระดับรัฐมนตรี คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้มีมติเห็นชอบร่วมกันที่จะรักษาเสถียรภาพราคายางพารา และกำหนดแนวทางการแก้ปัญหายางพาราตกต่ำร่วมกัน โดยประเด็นหลักใหญ่ของความร่วมมือในการประชุมครั้งนี้ คือ การให้แต่ละประเทศทำการศึกษาและหาแนวทางในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราในประเทศของตน โดยกองทุนดังกล่าวจะดูแลในเรื่องของสวัสดิการของผู้ปลูกยางพาราและเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนการรักษาเสถียรภาพยางพารา การประกันรายได้เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมไตรภาคีได้มีมติที่จะเชิญประเทศเวียดนามซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยาง อันดับที่ 4 ของโลกเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดความแข็งแกร่งของอำนาจการต่อรองทางการค้าสินค้ายางพาราในตลาดโลกมากยิ่งขึ้น
"การที่ราคายางพารามีเสถียรติภาพในระดับที่คงที่ ไม่แกว่งตัวในระดับสูงหรือต่ำมากจนเกินไป จะเป็นผลดีต่อทั้งเกษตรกรผู้ปลูกยาง ผู้ประกอบการแปรรูปและประเทศคู่ค้ายาง เพราะจะทำให้สามารถวางแผนการผลิต และทำการตลาดได้ถูกต้อง โดยในส่วนของประเทศไทยตั้งเป้าราคายางแผ่นดิบรมควันเฉลี่ยกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 80 บาท ส่วนอีก 2 ประเทศ ก็อยู่ในเกณฑ์ราคาเฉลี่ยที่ใกล้เคียง โดยทั้ง 3 ประเทศ จะจับมือร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรติภาพราคายางในตลาดโลก"
นายศุภชัยได้กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการสนับสนุนสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางเพิ่มมูลค่าเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งองค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) ได้รับอนุมัติให้กู้เงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 5,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 0% รับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกร ที่ไม่สามารถแปรรูป หรืออัดก้อนหรือขายไปต่างประเทศได้ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยใช้ราคานำตลาดเป็นคราวๆ เพื่อให้ราคายางสูงขึ้นตามเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายเก็บสต๊อกประมาณ 120,000 ตัน เพื่อจำหน่ายไปต่างประเทศนั้น
เนื่องจากขณะนี้ราคายางพาราอยู่ในเกณฑ์สูง วงเงินดังกล่าวจึงยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ ด้านสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ได้เตรียมเสนอที่จะปรับเพิ่มอัตราการเรียกเก็บเงินรายได้จากค่าธรรมเนียมการส่งออกยางพาราหรือเงิน CESS โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการบริหารกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เพื่อเตรียมนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาในเร็วๆ นี้
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 26 มกราคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=196801