เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 53
แม้ "เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16" จัดขึ้นที่สาธารณรัฐประชาชนจีนจะปิดงานไปแล้ว แต่ในส่วนของตลาดผลไม้ของไทยอย่าง "กล้วยไข่" ที่ถูกเปรียบเปรยให้เป็น "กล้วยจักรพรรดิ" และไทยได้ส่งเข้าไปให้ ประชาชนกวางโจว และผู้ร่วมงานได้ลิ้มรส กระทั่งเป็นที่ติดอกติดใจในรสชาตินั้น หลายคนคาดการณ์ไว้ว่าในเร็ววันนี้ ไทยน่าจะสามารถ "เปิดกว้างประตูการค้า" เพื่อส่งออกพืชสวนชนิดนี้ได้อย่างแน่นอน
"กล้วยไข่" ปัจจุบันปลูกกันมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดกำแพงเพชร ด้วยพืชสวนชนิดนี้ ค่อนข้างมีราคาซื้อขายที่ดี ส่งผลให้ปัจจุบันเกษตรกรเริ่มหันมาขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้น และสวนของ นายบุญรัตน์ พิมพ์ทอง เกษตรกรบ้าน 61/3 ม.3 ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นหนึ่งในจำนวนนี้
นายบุญรัตน์ เล่าให้ฟังว่า ครอบครัวมีพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่ เดิมจะปลูกข้าวโพดเพราะดูแลง่าย หลังเก็บผลผลิตขายหักลบต้นทุนกับระยะเวลามาคิดคำนวณแล้วเห็นว่าได้เงินค่อนข้างน้อย จึงหันมาปลูกมะละกอพันธุ์ "ฮอลแลนด์" ตามคำชักชวนที่บริษัทเอกชนเข้ามาเสนอ โดยจะรับซื้อเฉพาะลูกใหญ่ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท ส่วนลูกเล็กๆเราต้องหาตลาดเอง
มานั่งคิดกับแม่บ้านว่า หากปล่อยให้ถูกกดราคาเรื่อยไป นอกจาก "ไม่มีวันรวย คงหนีไม่พ้นหนี้ท่วมหัว" อย่างแน่นอน แล้วเริ่มศึกษาหาข้อมูลจากหนังสือ วารสารเกษตรอยู่พักใหญ่ จึงตัดสินใจปลูก กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 2 (พันธุ์เพาะเนื้อเยื่อ) เนื่องจากเห็นว่าราคาค่อนข้างดี และตลาดทั้งภายในประเทศและส่งออกยังเปิดกว้าง
ในช่วงแรกได้ปรับพื้นที่สำหรับลงหน่อแค่ 300 หน่อก่อน แต่ก็ยังเหลือมะละกอไว้บ้าง พร้อมกับปลูกไม้ผล พืชไร่ชนิดอื่นแซม เพื่อให้มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ เพราะหากปลูกพืชตายตัวจะอยู่ไม่ได้นาน พอกล้วยเริ่มโตจึงขยายแปลง โดยใช้หลักการตามที่เคยร่วมทำแปลงวิจัยสายพันธุ์ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาทดลองคือ 2.5®25 เมตร พอโตออกใบ 2-3 ใบ ใส่ มูลเป็ดและปุ๋ยสูตร
ส่วนการดูแลเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพ อย่างแรกต้องให้ความสำคัญกับน้ำก่อน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหากน้ำไม่ถึง มีไม่เพียงพอผลผลิตก็ไม่ได้ตามที่หวังไว้ และด้วยสภาพพื้นที่แถวนี้มีความลาดชัน ดังนั้นจึงแบ่งที่ส่วนหนึ่งขุดบ่อเก็บกักน้ำ และเดินระบบแรงดันโดยใช้มอเตอร์ 2 ตัว ถ้าไม่แล้งมากน้ำจะมีใช้อย่างเพียงพอ แต่ถ้าเกินความดูแลก็จำเป็นต้องปล่อยให้ธรรมชาติช่วยดูแล
ประมาณ 7-8 เดือน จะเก็บผลผลิตได้ วิธีเลือกดูว่าผิวผลตึงเหลี่ยมหาย แต่ที่เหมาะสมหลังตัดปลี 1 เดือน สามารถตัดเครือได้ หากเป็นพันธุ์กำแพงเพชรใช้เวลา 45 วัน ความโดดเด่นของพันธุ์นี้ แต่ละหวีจะมีกล้วยประมาณ 20-30 ลูก เนื้อแน่น กลิ่นหอม สีนวลสวย ซึ่งจะมีผลผลิตออกจากไร่ทุกสัปดาห์ พอเพื่อนบ้านเห็นว่าดีขายง่าย จึงเริ่มหันมาปลูกตามกันบ้าง
นายบุญรัตน์ บอกว่า เพื่อให้ควบคุมราคาซื้อ ขาย ไม่โดนกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ต่อมาจึงรวมกลุ่ม พร้อมกับตั้งราคาประกันรับซื้อตลอดทั้งปีที่กิโลกรัมละ 10 บาท ส่งขายในตลาดแก่งคอย แม้ว่าขณะนี้จะมีสมาชิกลูกไร่ 7 ราย แต่ผลผลิตก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่สัญจรผ่านไปมา
เมื่อเปิดกว้างประตู ความคิด เรียนรู้ และศึกษา แม้จะเดินเส้นทางอาชีพเกษตร ก็สามารถพบกับคำว่าประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
สำหรับเกษตรกรรายใดสนใจ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกันได้ที่โทร. 08– 1948–5230 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 22 ธันวาคม 2553
http://www.thairath.co.th/content/edu/135807