'อาร์ทูอีทู' มะม่วงเพื่อการส่งออกของไทย
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 52
'อาร์ทูอีทู' มะม่วงเพื่อการส่งออกของไทย
ในปัจจุบันมะม่วงน้ำดอกไม้จัดเป็นมะม่วงเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มีทั้งที่ส่งขายเป็นผลสดซึ่งมีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ราคารับซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรดเอ เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมามีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 50 บาท นอกจากการส่งออกในรูปผลสดแล้วยังมีการส่งออกแบบแช่แข็งและดรายฟรีซ เป็นต้น
ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงในขณะนี้จะมุ่งเน้นในการขยายพื้นที่ปลูกน้ำดอกไม้สีทองเป็นหลัก แต่ในสภาพความเป็นจริงพ่อค้าที่มารับซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้เพื่อการส่งออกเกือบทุกรายมักจะถามเกษตรกรว่าได้ปลูกมะม่วงพันธุ์อาร์ทูอีทูกันบ้างหรือไม่ เนื่องจากเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ตลาดต่างประเทศมีความต้องการมากแต่เกษตรกรไทยยังขยายพื้นที่ปลูกกันน้อย
“อาร์ทูอีทู” เป็นสายพันธุ์มะม่วงมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา นับเป็นเกษตรกรรายแรกที่ปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ในเชิงการค้าและนำมาปลูกในเขตพื้นที่ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ได้ผลผลิตและคุณภาพไม่แพ้ที่ปลูกในออสเตรเลีย และได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่าปลูกได้ในทุกพื้นที่ที่ปลูกมะม่วงได้ในบ้านเรา มะม่วงอาร์ทูอีทู จัดเป็นมะม่วงประเภทกินสุกที่มีขนาดผลใหญ่ มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 800 กรัม-1 กิโลกรัม เมื่อผลสุกสีของผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวอมชมพูเป็นสีเหลืองอมแดงสวยงามสะดุดตาต่อผู้บริโภค รสชาติของมะม่วงสายพันธุ์นี้จะไม่หวานแหลมเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้ (มะม่วงอาร์ทูอีทูสุกวัดค่าความหวานได้ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ในขณะที่มะม่วงน้ำดอกไม้สุกวัดได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์บริกซ์) จัดเป็นมะม่วงที่มีเนื้อละเอียดเนียนและไม่มีเสี้ยน ที่สำคัญไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้
เนื่องจากอาร์ทูอีทูเป็นมะม่วงที่ขนาดทรงพุ่มใหญ่ ในเรื่องของการจัดการแปลงปลูกควรจะใช้ระยะปลูก 6x6 เมตร เป็นอย่างน้อยและมีการติดตั้งระบบน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ ถ้าติดตั้งหัวมินิสปริงเกลอร์จะต้องวางอย่างน้อยต้นละ 1 หัว เป็นที่สังเกตว่าในการปลูกมะม่วงสายพันธุ์นี้ในเชิงพาณิชย์ได้มีการทดลองใช้สารแพคโคลบิวทราโซล บังคับให้มีการออกดอกและติดผลนอกฤดู ผล ปรากฏว่ามะม่วงสายพันธุ์นี้ไม่ตอบสนองต่อสารเท่าที่ควร ซึ่งแตกต่างจากการบังคับในมะม่วงน้ำดอกไม้และมะม่วงกินดิบสายพันธุ์อื่น ๆ ทำให้ผลผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูจะต้องปล่อยให้ออกในฤดูกาลคือผลผลิตจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนเมษายน ทำให้เกษตรกรหลายรายเกรงว่าราคาขายผลผลิตจะไม่ดี เนื่องจากมะม่วงปีทุกสายพันธุ์จะออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน
แต่ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาในช่วงเดือนเมษายน มะม่วงสายพันธุ์อื่น ๆ ของไทยจะมีราคาตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 3-5 บาท มะม่วงอาร์ทูอีทูยังขายจากสวนได้อย่างต่ำกิโลกรัมละ 30 บาท และเกือบทั้งหมดได้ซื้อเพื่อการส่งออกทั้งสิ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=191374&NewsType=1&Template=1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า