เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 52
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ลำไยถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีความสำคัญชนิดหนึ่งของไทย ซึ่งแต่ละปีสามารถส่งออกทั้งในรูปลำไยสด ลำไยอบแห้ง และผลิตภัณฑ์ รวมกันปีละกว่า 5 พันล้านบาท แต่เมื่อถึงช่วงฤดูกาลที่ลำไยให้ผลผลิต คือ เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เกษตรกรมักประสบกับปัญหาราคาตกต่ำเป็นประจำทุกปี ในขณะที่ความต้องการของตลาดจีนที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่มีเกือบตลอดทั้งปี ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถกระจายผลผลิตให้ออกในช่วงเวลาที่ตลาดต้องการแล้ว ก็จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาราคาลำไยตกต่ำได้อย่างยั่งยืน
นางนารีณัฐ รุณภัย รองเลขาธิการ สศก. เปิดเผยว่า สศก. ได้ทำการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาเบื้องต้น โดยใช้แนวคิดการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ และการวิเคราะห์โครงการทางการเงินเพื่อศึกษาความคุ้มค่าในการผลิตลำไยนอกฤดู พบว่า เกษตรกรควรมีงบลงทุนเริ่มแรกแปลงละประมาณ 70,000-90,000 บาท ในพื้นที่ 5 ไร่ เพื่อใช้ในการวางระบบน้ำ การขุดบ่อน้ำบาดาล รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายต่อไร่ในการปลูกลำไย และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น โดยมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาปีที่ 1-4 เฉลี่ยปีละ 3,000-4,000 บาท ปีที่ 5-10 เฉลี่ยไร่ละ 7,000-13,000 บาท และปีที่ 11-20 เฉลี่ยไร่ละ 15,000-18,000 บาท
จากการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุน พบว่า หากเกษตรกรแบ่งพื้นที่ 1 ไร่ เพื่อผลิตลำไยนอกฤดู จะมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ 39,690 บาท/ไร่ มีอัตราผลตอบแทนจากโครงการร้อยละ 16 มีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อทุน 1.25 มีระยะเวลาคืนทุน 9 ปี และเมื่อวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการ โดยกำหนดให้ราคาที่เกษตรกรขายลดลงร้อยละ 10 และกำหนดให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากที่คาดการณ์ไว้ พบว่า ยังคงมีความเป็นไปได้ในการลงทุน ดังนั้นการลงทุนผลิตลำไยนอกฤดูของเกษตรกรถือว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน
ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตลำไยนอกฤดูเพิ่มขึ้น ภาครัฐควรเร่งจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์ผู้ผลิตลำไยนอกฤดูใน จ.เชียงใหม่ และ ลำพูน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญ เพื่อให้การส่งเสริมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในการถ่ายทอดเทคโนโลยี จัดหาเงินทุนหมุนเวียนในเงื่อนไขผ่อนปรน เพื่อใช้ปรับปรุงและลงทุนในระบบน้ำ ประสานผู้ส่งออก และวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 28 ธันวาคม 2552
http://www.naewna.com/news.asp?ID=193172