เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 52
นาย บัณฑิต ตันศิริ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาโรงปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพชุมชนว่า กรมฯได้เร่งเข้าไปตรวจ สอบการดำเนินงานของโรงปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ ทั่วประเทศ โดยพบว่าขณะนี้สามารถขับเคลื่อนได้แล้ว 99% เหลืออีก 1% ที่ยังมีปัญหาเล็กน้อย ซึ่งจะเร่งเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าในปี 2552 โรงปุ๋ยทุกแห่งจะต้องมีกำลังการผลิตปุ๋ยให้ได้อย่างน้อย 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมดเพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพราคาถูกจำหน่ายให้กับเกษตรกรในหมู่บ้านหรือละแวกใกล้เคียง
“หลังจากที่โรงปุ๋ยอินทรีย์ฯ เหล่านี้สามารถขับเคลื่อนงานได้เต็มกำลัง คาดว่าจะสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดและปุ๋ยหมักได้ถึง 100,000 ตันและปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 2 ล้านลิตร ในขณะที่ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีทั้งประเทศมีอยู่ประมาณ 2.5 ล้านตัน ซึ่งการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ดังนั้นจะเร่งสร้างความเข้มแข็ง กรมฯ จะเข้าไปพัฒนาศักยภาพของโรงปุ๋ยเหล่านี้ให้มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง พร้อมกับรับรองมาตรฐานสินค้า (Q) ให้ได้ทั้งหมดภาย ในปีนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรเพราะต้องการให้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงที่ ผลิตโดยโรงปุ๋ยต่างๆเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสมจะได้เป็นทางเลือก ให้กับเกษตรกรในการลดใช้สารเคมีและลดต้นทุนการผลิต” อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินกล่าว.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552
http://www.thairath.co.th/news.php?section=agriculture&content=125204