ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H4 นวัตกรรมเพื่อเกษตรกรไทย
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 52
ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H4 นวัตกรรมเพื่อเกษตรกรไทย
จากการทดลองผสมพันธุ์
ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H4 กว่า 2 ปี และทดลองปลูกอีก 5 ปี โดยบริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของเอสซีจี เปเปอร์ ยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H4 ก็พร้อมสำหรับให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ
ด้วยจุดเด่นที่คุณสมบัติทนแล้ง ทนโรค และทนแมลง เช่น แมลงแตนปมฝอย กิ่งเล็ก เปลือกบางทำให้ได้เนื้อไม้ที่มากขึ้น โดยให้ผลผลิตไม้สูงถึง 12-24 ตันต่อไร่ที่อายุ 5 ปี และให้ผลผลิตเยื่อถึง 49% สามารถปลูกได้ทั้งในพื้นที่ราบระบายน้ำได้ดี และสามารถทนน้ำขังได้เป็นครั้งคราวในฤดูฝน เหมาะสำหรับการปลูกในที่ดินภาคตะวันตก ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ ดินเป็นกรด ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียวปนทราย
การปลูกยูคาลิปตัสสายพันธุ์ H4 จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและมั่นคง เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย เติบโตเร็ว ดูแลจัดการง่าย ลงทุนน้อย ใช้แรงงานน้อย แต่ให้ผลผลิตและผลตอบแทนสูง คืนทุนเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 4-5 ปีก็ตัดขายได้ แล้วยังสามารถแตกหน่อได้ดี โดยสามารถตัดได้ 3-4 รอบ ในรอบที่ 2 จะให้ผลผลิตที่มากกว่ารอบแรกถึง 30% นอกจากนั้นยังสามารถปลูกพืชเกษตรควบในสวนไม้ยูคาลิปตัสได้ ได้แก่ ข้าวโพด สับปะรด มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ในระหว่างช่วงที่รอการตัดฟันไม้ออก การปลูกสวนไม้ยูคาลิปตัสจึงช่วยเพิ่มมูลค่าที่ดินให้สูงขึ้น
ที่ตำบลวังศาลา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ตั้งของสถานที่วิจัยและพัฒนาพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัส ที่นี่มีการเพาะพันธุ์ในหลอดแก้ว การทดลองปลูกต้นยูคาลิปตัสในกรีนเฮาส์ และการปลูกในแปลงเพาะ
คุณพนมศักดิ์ พรสุขสว่าง เกษตรกรผู้ปลูกยูคาลิปตัส บอกว่าได้เริ่มปลูกยูคาลิปตัสมาตั้งแต่ปี 2534 ก่อนหน้านั้นเคยปลูกอ้อย แต่ผลผลิตไม่ดี เพราะเจอภัยแล้ง ผลผลิตเสียหายจนต้องมีหนี้สิน แต่พอหันมาปลูกยูคาลิปตัสได้ไม่นานก็สามารถหาเงินมาใช้หนี้ได้จนหมด ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลไร่ยูคาลิปตัสในพื้นที่กว่า 800 ไร่ โดยปลูกสลับช่วงเวลากันในแต่ละแปลง เพื่อให้มีผลผลิตทุกปีจากการเก็บเกี่ยวทีละแปลง เพราะ 3-4 ปีจึงจะเก็บเกี่ยวได้หนึ่งครั้ง พอเก็บเกี่ยวจนยูคาฯหมดผลผลิต ก็ปลูกมันสำปะหลังสลับเป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงกลับมาปลูกยูคาฯต่อ ซึ่งก็ให้ผลผลิตที่ดีเช่นกัน
สำหรับผู้ที่สนใจอยากปลูกยูคาลิปตัส ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือเจ้าของที่ดินที่สนใจอยากลงทุน ที่ศูนย์แห่งนี้มีบริการฟรี ตั้งแต่การประเมินความเหมาะสมของสภาพที่ดิน วางแผนการปลูก จัดส่งกล้าพันธุ์ ตลอดจนวัดผลความคืบหน้าในการเพาะปลูก เช่น ขนาดลำต้น และจัดสัมมนาให้ความรู้ นอกจากนี้ยังมีบริการจัดหาแรงงานในการเพาะปลูกและดูแลผลผลิต ตลอดจนรับเหมาตัดฟันและขนส่งครบวงจร เกษตรกรทั่วประเทศที่สนใจต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามได้ที่ 0-3461-5040 หรือ
http://www.scg.co.th
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 19 มีนาคม 2552
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=193800&NewsType=1&Template=1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า