เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 52
จากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ก่อให้เกิดผลกระทบในภาคแรงงานมีการเลิกจ้างและการว่างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมบางประเภทลดกำลังการผลิตเพราะปัญหาคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2552 จะมีอัตราการว่างงานประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งคาดว่าแรงงานเหล่านี้จะเข้ามาสู่ภาคเกษตรประมาณ 60,000-70,000 คน ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้วางมาตรการรองรับปัญหาคนว่างงานกลับเข้าสู่ภาคเกษตรไว้เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าภาคเกษตรไทยจะเป็นตัวชูโรงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติได้ในขณะนี้ แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาด้านการส่งออก เนื่องจากหลายประเทศก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจจึงมีการชะลอการนำเข้าสินค้าเกษตรไทยบางรายการ เพราะเขาหันไปบริโภคสินค้าในประเทศแทน ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรต้องมีการวางแผนพัฒนาภาคเกษตรของไทยให้มีทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
งานนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) จึงเข้ามารับบทบาทสำคัญในการสรุปวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อเสนอต่อกระทรวงเกษตรฯเป็นระยะ สำหรับนำไปจัดทำเป็นนโยบายเพื่อรองรับและช่วยเหลือให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่มั่นคง
นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการฯ สศก. กล่าวว่า สศก.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำและเสนอแนะนโยบาย มาตรการ และแผนพัฒนาการเกษตร เพื่อให้การเกษตรของประเทศเจริญก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจของชาติมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่ผ่านมา สศก.ได้มุ่งมั่นพัฒนาเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และสถิติให้ทันสมัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องรวดเร็วและแม่นยำ น่าเชื่อถือจนเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และในโอกาสครบรอบ 30 ปี วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2552 สศก.ยิ่งมีความตั้งใจที่จะนำพาองค์กรนี้ไปสู่การเป็นองค์กรชี้นำการพัฒนาการเกษตรของประเทศ และเป็นศูนย์กลางสารสนเทศการเกษตรของประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่เป็นเลิศด้านเศรษฐกิจการเกษตร โดยมุ่งเน้นให้เกิดการเจริญเติบโตของภาคเกษตรที่ต่อเนื่องและยั่งยืน ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ดีขึ้น อันเป็นรากฐานความมั่นคงของชาติ
"ภาคเกษตรมีความสำคัญเป็นรากฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทั่วโลกต่างวิตกเรื่องความมั่นคงด้านอาหารด้วยแล้ว แต่ประเทศไทยไม่เพียงแต่ผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงคนในประเทศได้อย่างเพียงพอเท่านั้น เรายังส่งออกไปเลี้ยงประชากรโลกอีกไม่น้อยกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรส่งออกรายใหญ่อันดับต้นๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก แต่ถ้าเราไม่พัฒนาภาคเกษตรให้เจริญก้าวหน้ายิ่งไปจากเดิมก็อาจส่งผลเสียตามมาในอนาคตได้ โดยเฉพาะการสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร เพื่อไม่ให้ละทิ้งอาชีพนี้ไป ปัจจุบันมีเกษตรกรอยู่จำนวน 40% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันลูกหลานเกษตรกรไม่มีใครต้องการทำอาชีพเกษตรแล้ว เขาหันไปทำงานอื่นแทน เพราะเป็นเกษตรกรเหนื่อยมากแต่มีรายได้น้อย ดังนั้นเราต้องสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรเป็นอันดับแรก" นายอภิชาต กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 23 มีนาคม 2552
http://www.naewna.com/news.asp?ID=153894