ปลูกมันสำปะหลังใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไอ้ผลดีเกินคาด
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 52
ปลูกมันสำปะหลังใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไอ้ผลดีเกินคาด
"
มันสำปะหลัง” พืชเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่ตอนนี้จากการเป็นพืชอาหารเพียงอย่างเดียวกลายเป็นพืชพลังงานด้วย วันนี้มีเรื่องราวของผู้ที่ปลูกมันสำปะหลังได้ผลดีเพราะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมีที่เคยใช้ ผู้ที่กำลังปลูกมันสำปะหลังอาจนำไปทดลองใช้ในแปลงดูบ้างก็น่าจะดีกับผลผลิต ตัวผู้ปลูก ผู้บริโภคและผืนแผ่นดิน
นางสวน แผนสมบูรณ์ อายุ 40 ปี เกษตรกรเจ้าของไร่มันสำปะหลัง 400 ไร่ ต.ห้วยอุ่น อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ที่เธอและครอบครัวทำไร่มันสำปะหลังมา 7 ปี แล้ว โดยใช้ปุ๋ยเคมีในช่วง 4 ปีแรก แต่ในช่วง 3 ปีหลัง หันมาใช้ขี้หมูทดแทน โดยมีวิธีการดังนี้คือ เมื่อซื้อขี้หมูมาแล้วให้นำขี้หมูมาแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นแยกกากออก เหลือเศษขี้หมูในน้ำที่แช่ก็นำมาผสมน้ำเปล่าเพิ่มได้ถึง 2,000 ลิตร จากนั้นนำไปฉีดพ่นในแปลงมันสำปะหลัง จากเดิมใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง แต่พอเปลี่ยนมาใช้ขี้หมูแทน ทำให้ต้นทุนลดลงมาก และได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมาด้วย จากที่เคยได้ผลผลิตไร่ละ 3-4 ตัน ก็ได้เพิ่มมาเป็นไร่ละ 15 ตัน โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี และในแต่ละรอบฤดูกาลที่ปลูก จะเน้นการให้น้ำโดยใช้วิธีน้ำหยด เพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง
เมื่อปีที่แล้วผลิตมันสำปะหลังได้ 1,000 ตันต่อ 400 ไร่ ราคาขายมันสำปะหลังอยู่ที่ 1,700 บาทต่อตัน รวมมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท ซึ่งที่ไร่แห่งนี้จะใช้วิธีปลูกมันสำปะหลังแบบหมุนเวียน ทำให้เก็บผลผลิตได้ทั้งปี แต่ปัญหาของการปลูกคือมีเพลี้ยลง ทำให้มันสำปะหลังที่เริ่มโตต้องชะลอการเติบโตลง ซึ่งตรงนี้ก็ยังต้องใช้ยา ฆ่าเพลี้ยพ่นลงที่ใบของมันสำปะหลังอยู่ ซึ่งก็เห็นผลทันตา และยังไม่เคยลองใช้วิธีอื่นในการกำจัดเพลี้ยที่เกิดขึ้น
ขั้นตอนการปลูกก็มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมที่ได้ผลผลิตน้อย เพราะเมื่อก่อนเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้มีดสับพันธุ์มันสำปะหลัง แต่ปัจจุบันใช้เครื่องหั่นพันธุ์มันแทนกำลังคน ทำให้ประหยัดแรงงานด้วย จากนั้นนำพันธุ์มันมาแช่น้ำยาเร่งราก เพื่อให้ได้ผลผลิตดีขึ้น และเว้นพื้นที่การปลูกห่างกันต้นละ 1 เมตร จากเมื่อก่อนปลูกเว้นระยะห่าง 1 เมตร ได้ 2 ต้น ทำให้ใช้ท่อนพันธุ์มันถึง 3,000 ท่อน ปัจจุบันไร่หนึ่งใช้เพียง 1,600 ท่อน เท่านั้น ซึ่งผลผลิตที่เพิ่มขึ้น นับดูได้จากน้ำหนักของหัวมันหนึ่งต้นได้ประมาณ 25 กิโลกรัม โดยใช้ท่อนมัน 1,600 ท่อน เท่ากับผลผลิตต่อไร่ได้กำไรเกินร้อยเปอร์เซ็นต์
เธอบอกว่า ขั้นตอนการปลูกมันที่สำคัญ คือ การเตรียมดิน การชักร่อง และดึงสายน้ำหยด ในช่วงเดือนแรก 10 วันหยด 1 ครั้ง และครั้งละประมาณครึ่งวัน โดยเปิดน้ำทิ้งให้กระจายได้ 7 ไร่ ในหนึ่งเดือนถ้ามีหญ้าขึ้นก็เก็บหญ้าทิ้ง หลังจากหนึ่งเดือนรากของมันจะเริ่มออกแล้ว แต่ต้องให้น้ำบ่อย หลังจากเดือนที่ 2-3 การให้น้ำหยดจะให้ครึ่งเดือน หรือ 1 เดือนค่อยให้ครั้งหนึ่ง โดยสังเกตที่ดินถ้ายังชุ่มอยู่ก็ไม่ต้องให้น้ำ และให้ดูที่ใบของมันสำปะหลัง ถ้ามีสีสันไม่สดใสก็ต้องให้น้ำ แต่ถ้าใบยังสดใสอยู่ก็ไม่ต้องให้น้ำ พอทำการปลูกครบ 10 เดือน ก็ขุดเก็บมันได้เลย ส่วนปุ๋ยขี้หมูใช้ฉีดพ่นทางใบได้ โดยฉีดครึ่งเดือนครั้งต้นมันสำปะหลังก็จะโตไว แต่ ถ้าไม่มีเวลาฉีดพ่น 2 เดือนครั้งก็ได้ ซึ่งพันธุ์มัน ที่ตนเองใช้เป็นพันธุ์ห้วยบง 60 เพราะมันจะได้น้ำหนักดีมาก ปลูกในระยะ 10 เดือน ได้ผลผลิตไร่ละ 13 ตัน แต่พันธุ์ระยอง 5 ปลูกพร้อมกัน ขุดพร้อมกัน กลับได้ผลผลิตไร่ละ 10 ตัน ซึ่งตนเองได้ทดลองปลูกมาแล้ว เป็นเพราะพันธุ์ห้วยบงมีขนาดของหัวมันที่ใหญ่และยาว แต่พันธุ์ระยอง 5 มีขนาดหัวใหญ่ก็จริงแต่มีขนาดรูปทรงสั้นกว่า
มีผู้รู้บอกว่า ในการปลูกมันสำปะหลัง หากเกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีอยู่ การจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วม ช่วงแรกควรพบกันครึ่งทาง แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน โดยในการปลูกครั้งที่ 4 จึงใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่เกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยเคมีอัตราส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงเคมีอยู่เพราะหาซื้อได้ง่าย และเห็นผลทันตา เช่น มีแมลงเกาะพืชอยู่ พอฉีดยาเคมีลงไป แมลงตายทันที โดยไม่ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ปัจจุบันคนหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น ซึ่งสามารถให้ผลผลิตที่ดีดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมา หวังว่าเกษตรกรคงหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 7 เมษายน 2552
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=195492&NewsType=1&Template=1
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า