'ดีเอสไอ' ปูพรมไล่ตรวจต่างด้าวฮุบที่ดินทั่ว ปท.
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 52
'ดีเอสไอ' ปูพรมไล่ตรวจต่างด้าวฮุบที่ดินทั่ว ปท.
"ดีเอสไอ" ลั่นเตรียมปูพรมตรวจสอบที่ดินครั้งใหญ่ทั่วประเทศ แจง 1-2 สัปดาห์ หากหลักฐานมีมูลต่างด้าวฮุบที่ดินลงพื้นที่แน่นอน “นายกสมาคมชาวนาไทย” ระบุ ชาวนาเมืองส้มโอหวาน เตรียมมอบหลักฐานต่างด้าวกว้านซื้อที่นาให้เพิ่มเติม เปรยต้องตรวจสอบอย่างละเอียดชัดเจน เนื่องจากเกี่ยวกับผลเสียหายมหาศาลของชาติ
ภายหลัง “เดลินิวส์” ตีแผ่ปัญหาเรื่องการถือครองที่ดินของต่างชาติผ่านนอมินีคนไทย กว้านซื้อที่ดินในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อทำเกษตรกรรมส่งพืชผลกลับไปบริโภคยังประเทศของตัวเอง มีเป้าหมายเป็นที่นาทางจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือ ซึ่งไม่ต่างจากการล่าอาณานิคมทางการเกษตร จนตัวแทนชาวนาบางส่วน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลใส่ใจกับปัญหาดังกล่าว ก่อนที่จะไม่มีที่ทำกินเหลือให้ลูกหลาน ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 5 ส.ค. นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวว่า ในวันที่ 6 ส.ค. กลุ่มชาวนาในพื้นที่ จ.นครปฐม จะนำข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวมามอบให้เพื่อช่วยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการประสานเพื่อให้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงข้อมูลที่จะได้รับยังไม่สามารถระบุได้ว่าหลักฐานที่จะนำมามอบให้นั้น เป็นอะไร หรือชัดเจนเพียงพอจะส่งให้เป็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการขยายผลของดีเอสไอหรือไม่
นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ต้องตรวจสอบความชัดเจนเบื้องต้นก่อน ขอย้ำว่ากรณีที่กำลังเกิดขึ้นยังเป็นเพียงข้อสังเกตที่ต้องมีการพิสูจน์ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง เพื่อตอบคำถามสังคม ซึ่งให้ความสนใจเพราะผลเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั้นมหาศาล ดังนั้นข้อมูลที่อยากให้มีการเผยแพร่จึงอยากให้เป็นข้อเท็จจริงมากที่สุด
ขณะที่แหล่งข่าวจากดีเอสไอระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดตามพื้นที่ที่ปรากฏเป็นข่าว และได้รับข้อมูลทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งพื้นที่ที่ลงไปสำรวจข้อมูลมาแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนคือ จ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนการลงพื้นที่อื่นนั้นยังไม่อยากเปิดเผย เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับการให้ข้อมูลของคนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าขอให้รอการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนก่อนมีการเปิดเผยว่ามีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง หากเป็นเรื่องจริงจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยมาก โดยเฉพาะประเด็นการขาดแคลนข้าวสารที่เป็นอาหารหลักของประเทศ เพราะผลผลิตข้าวส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปต่างประเทศ ทั้งนี้คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะพยายามยุติว่ามีการถือครองที่นาโดยนอมินีจริงหรือไม่ให้ได้ หากปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอจึงจะมีการปูพรมตรวจสอบครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ต่อไป.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 6 สิงหาคม 2552
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=339&contentID=12521
ข่าวที่เกี่ยวข้อง ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า