เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 52
นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยระหว่างการบรรยายพิเศษเรื่องทิศทางโคนมในอนาคตว่า ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านโคนมและผลิตภัณฑ์นมในภูมิภาคอาเซียนได้ด้วยศักยภาพพื้นฐานที่มีอยู่ทั้งเชิงวิชาการและจำนวนโคนม ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม 19,243 คน โคนมประมาณ 530,000 ตัว
อย่างไรก็ดี จะต้องเร่งพัฒนาโคนมทั้งระบบตั้งแต่การวิจัยพัฒนาพันธุ์ การแสวงหาแนวทางลดต้นทุนการผลิตที่ปัจจุบันอยู่ที่ 13 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ 16.50 บาท/กิโลกรัม ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้โคนมในฝูงให้ผลผลิตเพิ่ม ขึ้นจากปัจจุบันที่ 40% เป็น 60-70% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่คุ้มค่าต่อการเลี้ยงดูโคนมทั้งฝูง รวมถึงลักษณะอาหารที่จะส่งผลถึงประสิทธิภาพการให้ผลผลิตน้ำนมของแม่โคนม ซึ่งไทยอาจต้องทบทวนเนื่องจากปัจจุบันใช้อาหารข้นเป็นหลักเพราะเกษตรกรราย ย่อยมีพื้นที่แปลงหญ้าไม่มากนัก ต่างจากนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และยุโรป ที่ใช้หญ้าและอาหารหยาบต่างๆ เป็นหลัก ทำให้ปริมาณน้ำนมโคที่ผลิตต่อฝูงได้มากกว่าและมีธาตุอาหารสูง นอกจากนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่ยึดติดเฉพาะตลาดนมพร้อมดื่มเป็นหลักอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ต้องมองถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์นม เช่น นมผง เนย ชีส ฯลฯ เพื่อลดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด สามารถสร้างกำไร และแข่งขันกับต่างประเทศได้
นายยุคลกล่าวต่อว่า ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตน้ำนมดิบ 2,568 ตัน/วัน ใช้สำหรับโครงการอาหารเสริม(นม) หรือนมโรงเรียนประมาณ 1,200 ตัน/วัน ส่วนที่เหลือเป็นวัตถุดิบให้โรงงานนมยูเอชที นมพาสเจอร์ไรซ์ และการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ทั้งยังต้องพึ่งพาการนำเข้านมผงจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงต้องเร่งพัฒนาตามแนวทางข้างต้น โดยอาศัยความร่วมมือกันจากทั้งเกษตรกร ชุมนุมสหกรณ์ และภาครัฐ ให้เห็นถึงประโยชน์ของกิจการโคนมไทยเป็นหลักมากกว่าแสวงหาประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 20 ตุลาคม 2552
http://www.naewna.com/news.asp?ID=183809