เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 52
ยุคข้าวยากหมากแพงเกษตรกรต้องพยายามหาวิธีลดต้นทุนการผลิตลง เพื่อให้เหลือกำไรไว้เลี้ยงชีพและครอบครัว การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน โดยการใช้สารสมุนไพรที่หาได้ไม่ยากนักในท้องถิ่นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังคงเน้นใช้วัตถุมีพิษเพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากความเคยชิน ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ กับตัวเกษตรกรเอง หากขาดความเข้าใจที่ถูกต้องและขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติในการใช้วัตถุมีพิษเหล่านั้น
จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปีหนึ่งๆ มีผู้ป่วยเนื่องจากการใช้วัตถุมีพิษประมาณ 5,000 คน ผู้ที่ได้รับวัตถุมีพิษเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางอ่อนแอลงในรุ่นลูกหลาน
บัวเพชร ใจแสน อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.วังไก่เถื่อน อ.หันคา จ.ชัยนาท วัย 53 ปี ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อน กล่าวถึงการใช้สารสกัดสมุนไพรเพื่อ การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบหมัก คั้น บดผง จะต้องทำและใช้ในทันทีทันใด เพราะไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อจะใช้จึงค่อยทำ หากเกษตรกรละเลยการตรวจแปลง พบการระบาดของของโรค-แมลงศัตรูพืชก็จะควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ยากและไม่ทัน การณ์
"ปัจจุบันมีการสกัดสารสมุนไพรนำมาผสมกับแอลกอฮอล์แล้วนำไปฉีดพ่นแทน ประสิทธิภาพจะดีกว่ามาก แต่ยังคงมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้ในกรณีสารสมุนไพรที่ มีกลิ่นฉุนและไม่สลายตัว เมื่ออยู่ในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่นสารตะไคร้หอม ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับสะเดา ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการสกัดแอลกอฮอล์จากเหล้าขาว หรือแอลกอฮอล์เช็ดแผล และน้ำส้มสายชู แต่คงพบปัญหาและมีข้อเสียคือ ต้นทุนที่สูง"
ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อนอธิบายถึงวิธีการผลิต แอลกอฮอล์ว่า ทำไม่ยาก เพียงนำกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม ละลายในน้ำสะอาด 4 ลิตร ใส่ยีสต์ทำขนมปัง 1 ช้อนชา คนให้ทั่วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์รอการนำไปใช้สกัดสารสมุนไพรต่างๆ ได้ แต่เมื่อหมักได้ดีแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ใช้ให้หมดก็จะกลายเป็นน้ำส้มและเน่าเสียได้ แต่ถ้านำไปสกัดสมุนไพรและนำกากสมุนไพรที่สกัดออกแล้วสามารถเก็บสมุนไพรนั้นไว้ใช้ได้นานหลายเดือนตลอดฤดูการผลิต
"อย่างการสกัดสารสมุนไพรป้องกันแมลงศัตรูพืชจากยาสูบ และน้ำส้มควันไม้ โดยมีวิธีทำ คือ แอลกอฮอล์ 1 ลิตร น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ใส่ยาสูบลงไปพอท่วม ใช้ตะแกรงวางบนและทับด้วยหินให้น้ำท่วมเสมอ ทิ้งไว้ 7 วัน คั้นเอาน้ำสมุนไพรไว้ ใช้ทิ้งไว้ได้เป็นปี กากที่ได้นำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น โรยในแปลงผัก อัตราที่ใช้ 50 ซีซี ต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร ควรฉีดพ้นเวลาแดดอ่อน สามารถป้องกันและกำจัดศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี" บัวเพชรกล่าว
บัวเพชรย้ำว่า การสกัดสมุนไพรด้วยแอลกอฮอล์จะสกัดสารสมุนไพรให้ออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าการใช้น้ำที่ละลายออกมาได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งสามารถเก็บไว้ได้นาน พร้อมใช้งานเมื่อเกิดการระบาดของศัตรูพืชได้อย่างทันกับสถานการณ์
ในขณะที่ รังสรรค์ กองเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมว่า การส่งเสริมเพื่อให้เกษตรกรป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานนั้น เป็นนโยบายของจังหวัดชัยนาท เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “เมืองเกษตรมาตรฐาน สืบสานคุณภาพชีวิต” โดยในปี 2552 จังหวัดชัยนาทอนุมัติงบประมาณดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดภัย จากสารพิษและลดต้นทุนการผลิตจำนวน 80 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 20 คน ครอบคลุมทุกตำบลใน จ.ชัยนาท
"แนวทางการส่งเสริมด้วยการสร้างทีมวิทยากรเกษตรกร เพื่อร่วมเป็นทีมวิทยากรสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันของเกษตรกร ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดินที่ลดการเผาตอซังและฟางข้าว การวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน การตรวจนับแมลงศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติ การใช้สารสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น"
เกษตรจังหวัดชัยนาทย้ำด้วยว่า ในส่วนของการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับการสกัดสมุนไพรนั้น สามารถลดต้นทุนการผลิตและสกัดสมุนไพร เพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรนำไปใช้เพื่อการเกษตรเท่านั้น ห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เนื่องจากผิดกฎหมาย และอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพด้วย
การใช้แอลกอฮอล์สารสกัดพืชสมุนไพรแทน สารเคมีหรือวัตถุมีพิษ 100% จึงนับเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย
"เกษตรอินทรีย์"หนทางรอดของเกษตรกร
สุธรรม จันทร์อ่อน หมอดินอาสาประจำอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกรมพัฒนาที่ดินให้เป็นหมอดินอาสาดีเด่น และยังรั้งตำแหน่งปราชญ์ชาวบ้านเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงข้อดีของเกษตรอินทรีย์ว่า นอกจากสามารถลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของตนเองและครอบครัว ที่สำคัญยังป้องกันการเสื่อมโทรมของที่ดินทำกินอีกด้วย
"เมื่อก่อนผมก็ใช้สารเคมีเหมือนกัน แต่เมื่อได้กลับมาคิดถึงคำสอนของบรรพบุรุษ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงกล่าวถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทางออกทางรอดของเกษตรกรโดยแท้ ตั้งแต่นั้นมาผมจึงหันมาทำเกษตรพึ่งพาสารอินทรีย์ชีวภาพและปฏิเสธการใช้ปุ๋ย เคมีหรือสารเคมีทุกชนิด"
ทุกวันนี้ครอบครัวของหมอดินสุธรรมมีความสุขดี จากการเพาะปลูกพืชผักแบบผสมผสาน มีพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่ แบ่งพื้นที่ตามความเหมาะสมของดิน เป็นฟาร์มวัว บ่อเลี้ยงปลา แปลงหญ้า ประมาณ 10 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่ เป็นที่ปลูกบ้านที่พักอาศัย และปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พริก มะเขือ กล้วยน้ำว้า ไผ่ ไว้รอบๆ บริเวณ ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นการผลิตที่เกื้อกูลกัน
"ผมพิสูจน์มาแล้วว่า การใช้ปุ๋ยอินทรีย์สามารถลดต้นทุนได้ไม่ต่ำกว่า 60-70% ถึงแม้ว่าผลผลิตจะได้ไม่สูงเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี แต่เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนกับรายได้แล้วนับว่าคุ้มค่า แต่ละปีมีรายได้เหลือไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พออยู่ได้” สุธรรมกล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก วันที่ 26 ตุลาคม 2552
http://www.komchadluek.net/detail/20091026/34217/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%