เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 52
นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การเปิดเสรีสินค้าเกษตรอาเซียน หรืออาฟต้า ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2553 ในส่วนของสินค้านมพร้อมดื่ม น้ำนมดิบ และนมผงขาดมันเนย ที่ต้องลดภาษีนำเข้าลงเหลือ 0% นั้น ในภาพรวมประเทศไทยค่อนข้างมีศักยภาพด้านการผลิตมากกว่า ส่วนประเทศอาเซียนอื่นมีการผลิตน้ำนมดิบและนมพร้อมดื่มบ้างแต่ไม่มากนัก ดังนั้นไทยอาจใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรี AFTA ในการขยายตลาดไปสู่ประเทศในอาเซียนได้มากขึ้นเพราะประเทศอาเซียนอื่นก็เปิดตลาดนมเหมือนกัน
สำหรับนมผงขาดมันเนยไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเกษตรกรไทย เนื่องจากอาเซียนไม่ใช่แหล่งผลิตนมผงขาดมันเนย และส่วนใหญ่ไทยนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐ แต่ยังมีข้อกังวลว่าอาจจะมีการสวมสิทธิ์จากประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตและการตลาดนมและผลิตภัณฑ์นม อย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ผ่านจากประเทศเพื่อนบ้านมายังไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย เนื่องจากราคานมและผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าตามข้อตกลง AFTA จะมีราคาต่ำกว่านมในประเทศ
นายยุคล กล่าวต่อไปว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำมาตรการรองรับการเปิดเสรีในสินค้าประเภทนมขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจาก AFTA โดยในส่วนของน้ำนมดิบ นมพร้อมดื่ม กำหนดให้เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้า ต้องมีใบรับรองการกำหนดปริมาณสารพิษตกค้าง และหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด รวมถึงตรวจสอบแหล่งกำเนิดย้อนกลับด้วย นอกจากนี้ยังต้องรายงานการนำเข้า การใช้ สต็อคคงเหลือภายใน 1 เดือน และมีบทลงโทษกำหนดไว้หากไม่ดำเนินการ สำหรับนมผงขาดมันเนยมีการบริหารการนำเข้า อาทิ การใช้เอกสารประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการนำเข้าและการใช้ในกิจการตนเอง สำเนาหนังสือรับรองโรงงานผลิตอาหารที่รัฐบาลไทยรับรอง เอกสารรับรองมาตรฐาน GMP และตรวจสอบย้อนกลับแหล่งกำเนิดเช่นเดียวกันกับน้ำนมดิบ นมพร้อมดื่มด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2552
http://www.naewna.com/news.asp?ID=189019